วันนี้แอดมินเพจ Drive Master มีข้อมูลจะมาแชร์ให้อ่านกันครับ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับรถกันก่อนนะครับ
Cr. Which.co.uk
รถยนต์ 1 คันที่แต่ละบริษัทผลิตออกมานั้น คุณผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า บริษัทรถเอง ได้ออกแบบ วิจัยและพัฒนา หรือที่เรียกว่า R&D ด้วยตัวเองเพียงไม่กี่ % เอง เพราะตัวทีม R&D ของบริษัทรถยนต์เอง ก็มีความรู้ที่จำกัด ไม่ได้ครอบคลุมทุกชิ้นส่วนทั้งคัน จึงต้องอาศัยความรู้หรือ Knowhow ของบริษัทผลิตชิ้นส่วนซะเป็นส่วนใหญ่ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ บริษัทรถยนต์แค่มี concept หรือแนวทางว่ารถรุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร แล้วก็ให้บริษัทผลิตชิ้นส่วนเสนอรายละเอียดมาให้ แล้ว บ.รถก็เลือกอันที่เข้าตาและน่าสนใจมาเป็นชิ้นส่วนให้รถตัวเอง ดังนั้นปัญหาที่มีก็จะมีตั้งแต่ แต่ละชิ้นส่วนที่แต่ละผู้ผลิตชิ้นส่วนผลิตมาให้หรือเป็นปัญหาของระบบใหญ่ ที่ต้องประสานชิ้นส่วนแต่ละส่วนแต่ละผู้ผลิตเข้าด้วยกัน ซึ่งจุดนี้ต้องเป็นความรับผิดชอบของ บ.รถยนต์ แต่ในปัจจุบันหลายๆที่ก็ให้บริษัทชิ้นส่วนเจ้าหลักๆ เป็นคนดูแลในแต่ละระบบแทนให้
Cr. How car work.com
คุณผู้อ่านเริ่มสงสัยว่าแล้วสิว่า จริงๆแล้ว บ.รถยนต์จะมีความรู้ด้านไหนกันแน่ หลักๆแล้ว บ.รถยนต์จะเก็บความลับทางด้าน R&D หรือ knowhow ของส่วนที่เป็นสิ่งหลัก หรือ core ของรถยนต์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เป็นความลับ เช่น ระบบการจุดระเบิด ระบบวาล์วแปรผัน ระบบการสันดาป กล่องควบคุม ซึ่งบางส่วน บ.รถยนต์จะหวงไว้ผลิตเอง ไม่จ้างผู้ผลิตชิ้นส่วนทั่วไปผลิตให้ แต่อาจจะจ้างผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็นบริษัทคู่บุญหรือบริษัทที่บ.รถยนต์มีหุ้นส่วนผลิตให้ แอดมินจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ เช่น Toyota จะให้ Denso ดูแลระบบหลักของเครื่องยนต์ ระบบหัวฉีด กล่องควบคุม(ECU) ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ เพราะ Toyota มีถือหุ้นใน Denso และจะไม่จ้างผู้ผลิตทั่วไปผลิตในชิ้นส่วนที่สำคัญ, ส่วนทาง Honda ก็จะจ้าง Keihin ผลิตชิ้นส่วนเพราะ Honda ถือหุ้นใน Keihin, ส่วนทางยุโรป ก็จะมี Bosch เป็นคนผลิตให้ แต่จะต่างจากรถญีปุ่นก็ตรงที่ ค่ายรถยุโรป ไม่ได้ถือหุ้นใน Bosch แต่เป็นทาง Bosch เองที่มี Knowhow ที่เจ๋ง จนค่ายรถต้องไปจ้างให้ผลิตให้ หรือจะมีอีกหลายผู้ผลิตชิ้นส่วนอย่าง Continental ที่ไปซื้อบริษัทหลายๆอย่าง เพื่อให้ตัวเองมี knowhow หลายด้าน เช่น ยาง ระบบช่วงล่าง ระบบ safety เป็นต้น
Cr. ru bosch-automotive.com
Cr. denso.com
Cr. underhoodservice.com
ส่วนชิ้นส่วนทั่วไป พวกตัวถัง พลาติคภายในภายนอก วิทยุ ไฟหน้า ไฟท้าย หน้าปัทม์ ล้อ ยาง ช่วงล่าง และอื่นๆ พวกนี้ไม่ใช้ชิ้นส่วนที่เป็นความลับหรือ knowhow เฉพาะมากนัก บ.รถยนต์จึงจ้าง บ.ไหน ผลิตให้ก็ได้ ขอให้ผลิตได้ตามสเปคที่ต้องการก็พอ จากที่แอดมินได้กล่าวมาข้างต้น ผู้อ่านคงทราบถึงรายละเอียดบางส่วนบ้างแล้วนะครับ ต่อจากนี้ แอดมินก็จะมาอธิบายว่าทำไม รถสมัยนี้ถึงไม่ทนเท่าสมัยก่อน โดยจะแบ่งสาเหตุหลัก 2 ข้อๆก่อนนะครับ ถ้าเอาครบๆ เนื้อหาจะยาวเกินไปนะครับ
1. ระยะเวลาในการวิจัยและพัฒนาที่สั้นลง
Cr. https://www.slideshare.net/kenjisuzuki397/car-electronization-trend-in-automotive-industry-44007679
Cr. https://www.google.com/search?rlz=1C1NHXL_thTH725TH725&biw=1920&bih=889&tbm=isch&sa=1&ei=_KglXMe4GYjyvgSGh7G4Cg&q=leadtime+develop+car&oq=leadtime+develop+car&gs_l=img.3...3364142.3373814..3373995...8.0..0.95.2189.29......1....1..gws-wiz-img.....0..0j35i39j0i67j0i10j0i10i24.ZhsI4KOJILo#imgdii=KM0KlHrx8JSpPM:&imgrc=Cz5IszIAhG_04M:
เนื่องจากปัจจุบันเทรนของรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลงกันรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนนี้มาก บางรุ่นมีอายุแค่ 3-4 ปีก็เปลี่ยนรุ่น ทำให้มีระยะเวลาในการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนใหม่ๆ ได้สั้นลง เช่นจากเมื่อก่อนอาจจะมีเวลาประมาณ 3 ปีในการพัฒนารถรุ่นใหม่ แต่ปัจจุบันอาจเหลือแค่ 1.5-2.5 ปีในการพัฒนา เพื่อให้รถรุ่นใหม่ออกมาทันความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่งั้นอาจจะผลิตออกมาได้ตอนที่ตลาดวายไปแล้วก็ได้ แอดมินจะยกตัวอย่างสำหรับตลาดปิคอัพไทยให้เห็นภาพได้ชัดนะครับ อย่างที่เราทราบๆกันว่าจะมีรถปิคอัพยอดฮิตของคนไทยนั้น ทำไม่ถึงใช้ดี ใช้ทน แอดมินไม่แปลกใจเลยเพราะปิคอัพยี่ห้อนี้ รุ่นนึงลากขายกันเกือบสิบปีต่อ 1 โมเดลหรือ 1 รุ่น จึงไม่แปลกที่มันจะทนเพราะว่ากว่าจะออกรุ่นใหม่ 1 รุ่นนั้นมีระยะเวลาในการพัฒนากันยาวนานกว่ารถปกติเยอะมากๆ และต่อให้มีปัญหาการที่ลากขายยาวๆ ก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาได้หมดจนครบ และด้วยความที่มันเป็นเทคโนโลยีเก่าหรือไม่ทันสมัยนัก ทำให้มันผ่านการพิสูจน์จากหลายยี่ห้อที่ใช้จนบางทีเลิกใช้หันไปใช้เทคโนโลยี่ที่ใหม่กว่าแล้ว หรือใช้กันจนผู้ผลิตชิ้นส่วนมีความเชี่ยวชาญหรือแก้จุดอ่อนได้หมดแล้วนั้นเอง จึงทนและนี้ถือเป็นข้อดีข้อหนึ่งของการใช้รถที่มีเทคโนโลยีที่ไม่ใหม่นักนั้นเอง แต่ในความเป็นจริงราคามันต้องถูกกว่าเจ้าอื่นๆที่ใช้เทคโนโลยีใหม่กว่าเยอะมากนะครับ เพราะต้นทุนชิ้นส่วนและการผลิตมันถูกกกว่ากันมากนัก อย่างน้อยต้องถูกกว่าเจ้าอื่น 10-20% อัพด้วยซ้ำ กลับกันปิคอัพอีกเจ้านึงที่เน้นเทคโนโลยีใหม่อัดแน่นเต็มคันนี้ ย่อมมีจุดอ่อนที่ทำให้เสียบ่อยเพราะมันเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งใช้กันไม่นาน ดังนั้นบางทีจุดอ่อนของมันก็ยังไม่เกิดให้เห็นในตอนทดสอบที่มีเวลาสั้น แต่ดันมาแสดงจุดอ่อนหรือปัญหาตอนที่เราซื้อมาใช้แล้วนั้นเอง แอดมินมองว่าของแบบนี้ มันต้องแลกกันว่า จะเอาทนแต่เทคโนโลยีเก่า หรือเอาเทคดนโลยีใหม่แต่อาจเสียได้ง่าย ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ แอดมินเน้นว่า รถที่ใช้เทคโนโลยีเก่าราคารถก็ควรต้องถูกกว่าเยอะนะครับ 2. ต้นทุนการผลิตที่ต้องลดลง
Cr. https://www.pinterest.com/pin/402438916679477744/?lp=true
หลายๆคนอาจมองว่ารถยนต์สมัยนี้แพงมากๆ แอดมินก็คิดว่าถูกแค่บางส่วนนะครับ สำหรับรถที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ออฟชั่นเต็มคันนั้น ขายแพงแอดมินกลับมองว่าขายไม่แพง เพราะว่าอะไรนะเหรอครับ เพราะว่าเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใส่เข้าไปนั้นคือต้นทุนหลักที่ทำให้รถแพงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รถ D segment ของญีปุ่น เมื่อปี 1994 ราคาประมาณ 8 แสนกว่าบาท แต่ปัจจุบันราคามากกว่า 1.6 ล้าน หรือแพงกว่า 2 เท่านั้น เราต้องลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบนี้นะครับ รถสมัยก่อนมีแค่เบาะปรับมือ กระจกไฟฟ้า 4 บาน เบาะผ้า เครื่องNA ระบบอื่นๆแทบไม่มี ขายราคา 8 แสนกว่าบาท แต่ D segmentในปัจจุบัน เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด ระบบไฟฟ้าท่วมคันทั้ง วิทยุNavi กล้องถอยหลัง ระบบช่วย Safety ต่างๆ เพียบ ถ้าเรามองสิ่งที่ได้ เราจะเห็นได้ชัดว่าเราได้เพิ่มมาเยอะจากเมื่อก่อน แต่ลองเปรียบเทียบกับก๋วยเตียวเรือ เมื่อก่อนชามละ 10 บาท ตอนนี้ราคาทั่วๆไปเกือบ 50 บาท เพิ่มเกือบ 5 เท่า แต่สิ่งที่เราได้ เช่น เส้น เนื้อ ลูกชิ้นที่ใส่ ก็เท่าเดิม แทบไม่ได้เพิ่มอะไรเลย แอดมินเปรียบเทียบแบบนี้พอเห็นภาพไหมครับ
ทีนี้เรากลับมาที่ราคารถยนต์ ปัจจุบันเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง และต่างกันแข่งกันด้วยเทคโนโลยีใหม่และออฟชั่นเยอะๆ (ยกเว้นเจ้าตลาดบางเจ้าที่กั๊กออฟชั่น แต่ยังพอขายดีอยู่ แต่สักพักยอดจะร่วง จนต้องงัดออฟชั่นที่มีอยู่มาแข่งเหมือนกันอยู่ดีครับ) เมื่ออัดออฟชั่นเยอะๆ แต่ต้องขายในราคาที่ไม่แพงเกินไป แถมต้องกันเงินไว้ให้ของแถมเวลาซื้อรถที่ลูกค้าชอบๆ กันอีก ทำให้ต้นทุนรถยนต์ 1 คันนั้นถูกบีบให้มียอดที่จำกัด ซึ่งเทคนิคลดต้นทุนของแต่ละทีก็จะแตกต่างกันไปตามลำดับการลดต้นทุนหรือตามสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ บางยี่ห้ออาจจะลดออฟชั่นบางอย่างที่ไม่จำเป็นและเพิ่มบางอย่างที่ลูกค้าต้องการแทนเคสนี้ก็ถือว่าดีหน่อย หรือไปลดต้นทุนการผลิตในโรงงานประกอบ ลดต้นทุนที่ราคาชิ้นส่วนที่ผลิตโดยคง spec. เดิมไว้ ซึ่งอาจมองว่าดีไม่ลดสเปค แต่ในความเป็นจริงผู้ผลิตชิ้นส่วนก็ต้องหาทางลดต้นทุนการผลิตในโรงงานเมื่อลดหมดแล้ว ก็จะมาลดต้นทุนการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนนั้น หรือลดสเปคของแม่พิมพ์ ลดไปซื้อMaterialเจ้าใหม่ที่ราคาถูกลง หรือลดระยะเวลาในการทดสอบลง หรือลดความเข้มงวดคุณภาพในชิ้นส่วน(QC) ก่อนส่งชิ้นส่วนให้ บ. รถยนต์เพื่อประกอบเป็นรถยนต์ ปีแรกๆชิ้นส่วนอาจจะเทสมาดี แต่พอขายไปสัก 1-2 ปี ก็จะต้องลดราคาให้กับ บ.รถยนต์ดังนั้นชิ้นส่วนก็จะสเปคต่ำลงหรือเทสน้อยลง ทำให้เมื่อประกอบเป็นรถขายให้ลูกค้าความเสียหายก็จะมาแสดงตอนเราซื้อรถคันนั้นมาใช้นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของปัญหา
แต่ บ.รถยนต์บางเจ้าก็ลดต้นทุนที่รุนแรงกว่านั้น คือการลดสเปคชิ้นส่วนให้ต่ำลงกว่าเดิมกันตั้งแต่แรกเลย บางเจ้าดีหน่อยลดสเปคชื้นส่วนจากที่เคยดีกว่าเจ้าอื่นลงมาเท่าเจ้าอื่น แต่บางเจ้าสเปคตัวเองก็ต่ำกว่าเจ้าอื่นอยู่แล้ว ดันลดให้ต่ำกว่าเจ้าอื่นๆเข้าไปอีก ทำให้เวลาใช้งานมันก็แสดงปัญหาออกมาชัดเจนนั้นเอง จริงๆแล้วแอดมินมองว่ากรณีนี้ไม่ใช้การลดต้นทุนอย่างแท้จริง เพราะต่อให้ราคาชิ้นส่วนถูกลงก็จริง แต่ต้นทุนของหลังการขายหรือ Market claim expenseนั้นบานปลายมากๆ เป็นงูกินหาง เผลอๆต้นทุนรวมทั้งหมดอาจจะเพิ่มด้วยซ้ำ
และกรณีบางค่ายรถยนต์ที่ลดต้นทุนแบบร้ายแรง ซึ่งแอดมินยอมรับไม่ได้ก็คือ การลดต้นทุนในส่วนของระบบ Safety เช่น ลดจำนวนคานหลังคา ลดขนาดคานกันกระแทกหน้าหลัง ลดต้นทุนสเปคของระบบเบรค ระบบถุงลม ระบบฉีดเชื้อเพลิง เป็นต้น การลดสเปคพวกชิ้นส่วนหรือระบบเหล่านี้ มันสร้างอันตรายถึงชีวิตให้กับคนใช้รถได้ ถึงขนาดที่บางรุ่นคนใช้เสียชีวิตจากการใช้รถยนต์รุ่นนั้น ที่ลดต้นทุนชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ทำให้ไม่มีการพิสูจน์หรือเรียกร้องใดๆได้ เพราะคนใช้ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้วนั้นเอง แถมคนใช้รถบางท่านยังมองว่าเป็นเรื่องปกติของรถรุ่นนั้น บอกว่ารถมันขายดีมันก็ต้องลงข้างทางบ่อยเป็นธรรมดา เป็นต้น แอดมินไม่ขอลึกไปถึงรายละเอียดมากกว่านี้นะครับ เดี๋ยวแอดมินจะไม่ได้นอนที่บ้าน 555
ซึ่งในเรื่องการลดต้นทุน มันมีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นลูกโซ่อีกเยอะ ไม่ว่าการลด Margin ของดีลเลอร์ การลดจ่ายค่าชดเชยในการเคลมวารันตีของชิ้นส่วนของ บ. รถยนต์โดยการผลักภาระให้ดีลเลอร์หรือผู้ใช้รถรับผิดชอบ และประกอบกับ สคบ.ของไทยก็เข้มแข็งช่วยเหลือผู้ใช้รถอย่างจริงจังด้วย เลยกลายเป็นผู้ใช้รถที่ต้องดิ้นรนฟ้องร้องค่ายรถยนต์กันเอง หรือรวมกลุ่มกันไปประท้วงทุบรถกัน ซึ่งบางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ในมุมมองของแอดมินนั้น เมื่อเราเสียเงินซื้อรถมาใช้ เราก็ต้องมีสิทธิที่จะคาดหวังถึงประสิทธิภาพหรือความคงทนความปลอดภัยที่เราจะได้รับจากรถคันที่ซื้อมาอย่างสมควร แต่หลายๆค่ายรถยนต์กลับเพิกเฉยต่อการร้องขอความช่วยเหลือจากปัญหาที่เกิดจากรถยนต์ ทำให้คนซื้อเสียเวลาทำมาหากิน เสียงาน เสียการ เสียอารมณ์ต้องมาทะเลาะกับศูนย์อีก ทั้งๆที่บางเคสที่เมืองนอกมีการ recall กันจริงจัง แต่กับบ้านเรากับเฉย หรือเปลี่ยนให้เฉพาะคนที่รู้และเรียกร้อง หรือแอบเปลี่ยนให้ตอนเข้าเช็คระยะทั้งๆที่เป็นเรื่อง Safety ต้องทำการเปลี่ยนโดยทันที่ทันใด เป็นต้น ใจเค้าใจเราครับ แอดมองมุมนี้ ไว้แอดมินจะมีบทความที่มาแชร์ความรู้กันอีกเรื่อยๆนะครับ ถ้าแอดมินมีเวลาเขียนนะครับ มีอีกหลายเรื่องที่แอดมินอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้กับแฟนเพจ สามารถเสนอแนะหรือคุยกันได้นะครับ แอดมินยินดีมากๆครับ ขอบคุณที่ติดตาม ฝากกด Like กด Share Drivemater page เพื่อเป็นกำลังใจให้แอดมินด้วยนะครับ









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น