https://drivemasterpage.blogspot.com/

Toyota Corolla Cross รถโตโยต้า BC-SUV ที่ขับสนุกและคุ้มค่าที่สุดในปี 2020 ในงบ 950,000-1,100,000 คุ้มยังไงมาดูกัน (พร้อมรีวิวการขับขี่เปรียบเทียบตัวเริ่มและตัวท๊อป)



             ในเดือนกรกฏาคม 2563 ก่อนวันงานมอเตอร์โชว์ที่เลื่อนหลายครั้งเพราะติดโควิด ได้มีกระแสรถของโตโยต้ารุ่นนึงที่ดังมากในโซเชียลมีเดียนั้นก็คือ Toyota Corolla Cross เป็นรถเก๋งยกสูง Crossover ที่พัฒนามาจากแพลทฟอร์มของ C-Segment อย่าง Corolla Altis แต่กับถูกเรียกโดยทางโตโยต้าเองว่า B-SUV ซึ่งมันก็จะซ้ำกับ CHR ที่เป็น B-SUV เหมือนกัน ดังนั้นผมเลยมองเป็นแบบนี้ว่า CHR เป็น B-SUV coupe แทน หรือมองว่า Corolla Cross เป็น BC-SUV แทน (คือ รถเก๋งยกสูงที่อยู่บนพื้นฐาน C-segment แต่ความยาวเป็น B-Segment อยู่นั้นเอง) ก็จะคล้ายๆ HRV ที่ตอนนี้เป็น BC-SUV คือสร้างจากพื้นฐาน B-Segment Jazz และสำหรับ HRV โฉมใหม่ก็จะเป็น C-SUV เต็มตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวปัจจุบัน อาจจะใหญ่กว่า Corolla Cross หรือเล็กกว่า CRV ปัจจุบันนิดหน่อยก็เป็นได้
             สำหรับใครที่กำลังมองหาซื้อรถเก๋งหรือเก๋งยกสูงที่มีความคุ้มค่า ในงบประมาณ 0.95 ล้าน- 1.1 ล้าน ซึ่งตัวแอดมินเองก็กำลังดูๆรถเพื่อหารถมาใช้งานเป็นรถหลักแทนคันเดิม โดยโจทย์มีประมาณนี้
       1. เป็นรถ C-Segment ขึ้นไป (เพื่อให้ดูภูมิฐานหน่อย เพราะ B-Segment เหมือนคนเพิ่งทำงานใหม่ๆ ไม่ค่อยเหมาะกับคนอายุ 35 อัพสักเท่าไหร่ แม้จะเป็นรถที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคามากที่สุดแล้วก็ตาม)
       2. ขับสนุก เร่งทันใจ พวงมาลัยต้องค่อนข้างคม ระยะฟรีน้อย
       3. พื้นที่ภายในกว้างขวาง นั่งสบาย นั่งรอแฟนในรถ 1-2 ชม.ได้ โดยไม่อึดอัด อย่างน้อยกว้างกว่าหรือเทียบเท่า Honda city
       4. อัตรากินน้ำมันประมาณรถเครื่อง 1.8 ทั่วไป
       5. ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องมีเงื่อนไขพิเศษใดๆ อะไหล่ถูก เช็คระยะปรกติ หรือเสียชิ้นส่วนทั่วไป เสียเวลาจอดไว้ที่ศูนย์ 1-2 วัน ไม่จอดเป็นอาทิตย์เป็นเดือน หรือต้องนัดคิวล่วงหน้านานๆ เพราะเป็นรถใช้งานหลักใช้ทุกวันต้องซ่อมไม่นาน ไม่รออะไหล่
       6. ราคา  950,000-1,100,000 เท่านั้น ไม่เอาถึง 1.2 ล้าน เพราะ ณ ปัจจุบันยังไม่รู้สึกว่ารถใหม่ ราคา 1.2 ล้านตัวไหนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพรถ และต้นทุนรถ ณ โรงงานจริงๆ ตามที่แอดมินประเมิณจากประสบการณ์
       จากตัวเลือกรถในตลาดที่อยู่ในโจทย์ด้านบนได้แก่  Altis Civic MZ3 HRV CHR CX3 CX-30 XV
จากตัวเลือกมาดูรายการที่ตัดออกกันก่อน
- Mazda 3 Sedan หน้าตาดูดี ภายในวัสดุดี หรูหราที่สุด ขับดี แต่ตัดออกเพราะไม่มั่นใจในคุณภาพชิ้นส่วน อะไหล่มีราคาแพงกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไปมาก หลายชิ้นราคาไปใกล้เคียงรถยุโรปเลยด้วยซ้ำ ไม่ชอบวิธีการบริหารจัดการปัญญา โดยเฉพาะการฟ้องร้องลูกค้ากลับ กรณีนี้เป็นจุดที่แอดมินรับไม่ได้มากๆ
- HRV หน้าตาโอเคร ภายในกว้างขวาง เครื่องทน แรงพอตัว ภายในหุ้มหนังวัสุดบุนุ่มคอนโซล แผงประตูเยอะกว่ารถรุ่นอื่นๆ ที่ใส่ของท้ายรถใหญ่มาก แต่ตัดออกเพราะออกมานานแล้ว กินน้ำมันนิดสำหรับในเมือง หน้าตาเริ่มจืดแล้ว ณ ปัจจุบัน คงเพราะออกมานานแล้วและเห็นจนชินตา
- Toyota CHR ขับดี เป็นการเซ็ตช่วงล่างที่ลงตัวที่สุดระหว่างความนุ่มและการเกาะถนน เครื่องเบนซินขับสนุก ไฮบริดเร่งพอใช้ได้ ประหยัดน้ำมันมาก แต่ตัดออกเพราะด้านนั่งนั่งแล้วอึดอัดมาก แม้ Legroom Headroom จะใช้ได้ก็ตาม เพราะต้องมีพ่อแม่นั่งหลังด้วยบางครั้ง กลัวท่านอึดอัดและเมารถ
- Mazda CX3 2.0 ขับสนุก เครื่องแรงใช้ได้ ภายในก็โอเคร ติดเรื่องแคบไปหน่อย แคบกว่า City เยอะเลย
- Mazda CX-30 หน้าตาภายนอกสวยเลยโดยเฉพาะสีเทาใหม๋ แต่โป่งดำที่ล้อหนาใหญ่ไปหน่อย ภายในหรูหรา ดูดีเหมือน MZ3 รวมๆแล้วน่าใช้กว่า MZ3 แต่ตัดออกด้วยเหตุผลเดียวกับ MZ3 คึอไม่มั่นใจชิ้นส่วน ราคาอะไหล่แพง และก็เรื่องฟ้องกลับลูกค้า
- Subaru XV ทำไม่ถึงอยู่ในกลุ่มนี้เพราะราคาน่าจะเกิน 1.1 ล้าน พอดีช่วงก่อนหน้านี้ แอดมินได้ทราบว่ามีรถราคาพิเศษจำนวนจำกัดไม่กี่คันในราคา 990,000 บาท สต็อคช่วงโควิดและน่าจะหมดไปแล้ว รถขับดี ขับสนุก ภายในกว้าง ท้ายรถเล็กหน่อยแต่ใส่ของพอได้อยู่ ขับเร็วๆ มุดนิดๆ สนุกมากกกกก แต่ตัดออกเพราะรถคันนี้เป็นรถหลัก ต้องขับไปไกลได้ทุกจังหวัดสบายใจ มีศูนย์ให้ซ่อมฉุกเฉินได้เกือบทุกที จริงๆ Subaru ก็ทนอยู่นะ แต่ศูนย์ยังไม่เยอะพอ รออะไหล่อาจจะนานกว่ารถญี่ปุ่น ทั่วไปนิดนึง วันธรรมดาขับในเมืองเป็นหลัก ระบบขับสี่เลยไม่ได้ใช้สมรรถณะเท่าไหร่ ทำให้กินน้ำมันเยอะอยู่ด้วย
- Toyota Altis 1.8 GR ขับดี ช่วงล่างนุ่ม หน้าตาด้านหน้าโอเคร แต่ด้านท้ายลีบเล็กไปหน่อย สวยสู้ตัวเก่าไม่ได้ ภายในจืดนิดๆ แต่เหตุผลหลักที่ตัดออกเพราะมันเหมือนแท็กซี่ แม้อะไหล่จะหาง่าย อะไหล่เทียมราคาถูกมาก อะไหล่แท้ราคาไม่ถูกนะ ราคาพอๆกับรถค่ายอื่นๆเลย หลายคนอาจจะบอกว่าเหตุผลเรื่องแท็กซี่ไร้สาระ แต่ในบางมุมคนซื้่อรถราคาเกือบล้านก็อยากได้รถที่ดูดีกว่าแท็๋กซี่นิดนึงจริงๆนะ สำหรับแอดมินนะเฉยๆ แต่รถคันนี้ให้แฟนใช้ ผู้หญิงเค้าไม่เฉยๆนะ เค้าบอกว่า Civic ดูดีกว่า Altis จริงๆ เพราะไม่ทำแท็กซี่นะเออ
- Honda Civic 1.8 หน้าตาดูดี ยังดูทันสมัย ภายในกว้างขวางที่สุดในกลุ่ม ถ้าในงบไม่เกิน 1.1 ล้าน ก็ได้แต่เครื่อง 1.8 เครื่องตัวนี้ก็เฉยๆล่ะ เพราะออกมานานแล้ว อัตราเร่งก็แพ้ Altis 1.8 อยู่นิดนึง ลองขับแล้ว Altis 1.8 รู้สึกสนุกและทันใจกว่า ถ้าจะให้ดีก็ต้องตัว RS 1.2 ล้าน ซึ่งมองว่าแพงไปหน่อย
         สุดท้ายก็เหลือ Toyota Corolla Cross ทำไมตัวนี้ถึงเป็นอันดับต้นๆในตัวเลือก เดี๋ยวแอดมินจะมาเฉลยในสรุปตอนท้ายนะครับ

Toyota Cross มีทั้งหมด 4 รุ่น
Cr. Toyota.co.th
ในรุ่นเริ่มต้น
      1. 1.8 Sport  959,000 บาท ราคาโปรภายใน 30 ก.ย.63 นี้ ลดพิเศษ 30,000 บาท
          ถือว่าเป็นรุ่นที่คุ้มที่สุด คุ้มยังไง ในงบเท่านี้ได้รถ SUV เครื่้อง 1,800 ซีซี ที่มีกำลังเพียงพอ ขับสนุก ท้ายสูงจุของได้เยอะ ยกสูงหนีน้ำท่วมพอได้ ได้ล้อแม็กซ์ 17 นิ้วแม้จะเป็นฝาครอบก็ตาม ถ้าใช้แค่ 5 ที่นั่ง รถวัสดุก็คุณภาพดูดีกว่า Xpander Ertiga หรือ XL7 ทั้งหมด มั่นใจ เชื่อถือได้มากกว่า MG ZS  มีแอร์แบค 7 ใบ ระบบช่วยการขับขี่พื้นฐานครบทั้งกันหลุดโค้ง กันล้อฟรี กันไหลขึ้นทางชัน ได้เบาะหนัง ได้วิทยุจอใหญ่ 9 นิ้วต่อ Apple car play ได้ มีกล้อมองหลัง ลำโพง 6 ตัว มีช่องแอร์ด้านหลังพร้อมช่องเสียบ USB 2 ช่อง มีกดปุ่มสตาร์ท Smart Entry  เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ Civic Altis ก็เป็นรถเก๋งจุของสู้ไม่ได้ CHR ก็ด้านหลังทึบ HRV ก็ช่วงล่างสู้ไม่ได้ ดังนั้นในมุมมองของแอดมิน ในงบ 9 แสนกว่าๆ เป็นรถที่ค่อนข้างคุ้มค่ากว่าหลายรุ่นในตลาดด้วยกันนะครับ ดังนั้นจึงเป็นเกรดที่แอดมินสนใจ ถ้าจะซื้อก็เป็นตัวนี้ 
     2. Hybrid Samart 1,019,000 บาท +เพิ่ม 30,000 บาทจากตัวเริ่ม (ราคาโปรเพิ่ม 60,000 บาท)
สิ่งที่ได้เพิ่มเทียบกับมูลค่าที่แอดมินประเมินราคาต้นทุนโรงงาน ไม่ใช้ราคาอะไหล่ หรือราคาของแต่งภายนอก (ประเมินจากประสบการณ์ทำงานด้านต้นทุนรถของผู้เขียน เป็นราคาสูงสุดคร่าวๆ)
      + HYBRID 35,000
      + ไฟหน้า LED+DRL 6,000
      + ไฟท้าย Light Gride 5,000
      + กระจกหน้า Acoustic 1,500
      + แอร์แยกซ้าย-ขวา 7,500
รวมทั้งหมด 55,000 บาท 
      เมื่อเทียบกับราคาที่จ่ายเพิ่ม 60,000 บาท จากตัวเริ่ม ถือว่าเป็นตัวไฮบริดที่คุ้มค่าเทียบกับเงินที่คนซื้อจ่ายเพิ่มไปที่สุด คงเป็นเพราะทางโตโยต้ายอมกดราคาและกำไรน้อยในตัวนี้ เพื่อดึงให้คนที่จะซื้อตัวเริ่มสนใจในตัวนี้แทน เพราะได้ไฟหน้า ไฟท้ายที่สวยกว่าเป็นหลัก เมื่อซื้อตัวไฮบริดเยอะๆ ทางโตโยต้าก็จะได้มีจำนวนการผลิตไฮบริดมากๆ ทำให้ต้นุทนต่อหน่วยถูกลง คุ้มทุนได้เร็วขึ้น กำไรในระยะยาวดีกว่า สำหรับแอดมินตัวนี้เป็นอีกตัวที่อยู่ในตัวเลือก ไม่ใช้เพราะไฮบริดนะครับ แต่เพราะไฟหน้า ไฟท้ายมันสวยกว่าเยอะ ถ้าไปติดเองที่หลังก็จ่ายพอๆกัน ถ้าชอบไฟสวยๆ จัดรุ่นนี้ไปเลยคุ้มกว่าครับ
     3. Hybrid Premium 1,089,000 บาท +เพิ่ม 100,000 บาทจากตัวเริ่ม (ราคาโปรเพิ่ม 130,000 บาท)
สิ่งที่ได้เพิ่มเทียบกับมูลค่าที่แอดมินประเมินต้นทุนราคาต้นทุน ณ โรงงาน ไม่ใช้ราคาอะไหล่ หรือราคาของแต่งภายนอก(ประเมินจากประสบการณ์ทำงานด้านต้นทุนรถของผู้เขียน เป็นราคาสูงสุดคร่าวๆ)
      + HYBRID 35,000
      + ไฟหน้า LED+DRL 6,000
      + ไฟท้าย Light Gride 5,000
      + กระจกหน้า Acoustic 1,500
      + แอร์แยกซ้าย-ขวา 7,500
      + กระจกข้างปรับลงอัตโนมัติ 1,000
      + คิ้วโครเมียมขอบกระจก 2,000
      + เบาะสีแดง 7,000
      + ภายใน Piano black 3,000
      + เบาะคนขับไฟฟ้า 5,000
      + ไฟที่วางแก้ว+ข้างประตู 2,500
      + ฝาท้ายไฟฟ้าเตะเปิด 8,000
      + หน้าจอหน้าปัทม์ 7 นิ้ว 4,000
      + กระจกหลังตัดแสง 2,000
      + ไฟตัดหมอกหน้า 4,000
      + TPMS 3,500
      + Blind spot 4,000
      + RCTA 2,500
รวมทั้งหมด 103,500 บาท
        เมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่ม 100,000 บาท จากตัวเริ่ม ก็ถือว่าพอคุ้มค่ากับส่วนต่างๆ ที่จ่ายกับสิ่งที่ได้ แต่ในงบ 1 แสน กับสิ่งที่ได้แอดมินไม่ค่อยซีเรียสก็เลยมองไม่ค่อยคุ้มค่า
     4. Hybrid Premium Safety 1,199,000 บาท +เพิ่ม 210,000 บาทจากตัวเริ่ม (ราคาโปรเพิ่ม 130,000 บาท)
สิ่งที่ได้เพิ่มเทียบกับมูลค่าที่แอดมินประเมินต้นทุนราคาต้นทุน ณ โรงงาน ไม่ใช้ราคาอะไหล่ หรือราคาของแต่งภายนอก(ประเมินจากประสบการณ์ทำงานด้านต้นทุนรถของผู้เขียน เป็นราคาสูงสุดคร่าวๆ)
      + HYBRID 35,000
      + ไฟหน้า LED+DRL 6,000
      + ไฟท้าย Light Gride 5,000
      + กระจกหน้า Acoustic 1,500
      + แอร์แยกซ้าย-ขวา 7,500
      + กระจกข้างปรับลงอัตโนมัติ 1,000
      + คิ้วโครเมียมขอบกระจก 2,000
      + เบาะสีแดง 7,000
      + ภายใน Piano black 3,000
      + เบาะคนขับไฟฟ้า 5,000
      + ไฟที่วางแก้ว+ข้างประตู 2,500
      + ฝาท้ายไฟฟ้าเตะเปิด 8,000
      + หน้าจอหน้าปัทม์ 7 นิ้ว 4,000
      + กระจกหลังตัดแสง 2,000
      + ไฟตัดหมอกหน้า 4,000
      + TPMS 3,500
      + Blind spot 4,000
      + RCTA 2,500
      + หลังคามูนรูฟ 12,000
      + ราวหลังคา 3,500
      + กระจกมองหลังตัดแสง Auto 2,500
      + กล้องมองรอบคัน 8,000
      + ระบบ Safety 15,000
รวมทั้งหมด 144,500 บาท
        เมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่ม 210,000 บาท จากตัวเริ่ม จะเห็นได้ว่าเริ่มมีส่วนต่างเยอะมากๆ  จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้ บ.รถยนต์ได้กำไรต่อคันมากขึ้น ยิ่งรุ่นแพงก็ยิ่งได้กำไรเยอะ ในมุมมองของแอดมินจ่ายเพิ่ม 2.1 แสนกับสิ่งที่ได้ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่มองเรื่องความปลอดภัย มองมูลค่าของชีวิต ถือว่าคุ้มครับที่จ่ายเพิ่ม

        มาชมรูปภาพตัวอย่างที่ถ่ายรถจริงมานะครับ แอดมินจะบรรยายใต้ภาพบางส่วนนะครับ ถ่ายมาได้ 2 เกรดนะครับ
      1. Hybrid Premium Safety 1,199,000 บาท ตัวท๊อป
 ภายนอกดูคันใหญ่กว่า CHR และ Altis มาก คงเพราะเส้นสายด้านข้างที่เป็นเหลี่ยมสันยกขึ้นมา ทำให้รถดูคันใหญ่และกว้างกว่าความเป็นจริง
 กระจังหน้าในรูปดูคันใหญ่ แต่ของจริงดูไม่ใหญ่ขนาดนั้น ด้านหน้าตรงยังพอมีสัดส่วนของตัวถังด้านข้างกระจังมากกว่า Mazda CX-30 นิดนึง
 กระจังตัวท๊อปและรองท๊อปจะเป็นสีดำเงาพร้อมแถบพลาสติคพ่นสีเงินโลหะ ซี่งกระจังจะเป็นสีดำเงาเหมือนกันทุกเกรด ไฟหน้ายกเว้นตัวล่างจะมี DRL และเป็นไฟหน้าสีขาว หลอด LED
 กาบข้างกระจกทุกรุ่นจะเป็นพลาสติคสีดำด้าน ไม่เงา Piano Black แบบรุ่นอื่นๆที่นิยมกัน แอดมินชอบแบบนี้มากกว่า เวลาเก่า ไม่เป็นรอยแมวข่วนจนหน้าเกลียด แต่จะเป็นสีขาวด่างๆแทน เมื่อโดนทาด้วยน้ำยาตามคาร์แคร์ 555 ซุ่มโป่งล้อก็เช่นกัน
 แถบเหนือกระจกข้างบานที่ 3 จะเป็นสีโครเมียมพร้อมตัวอักษรชื่อรุ่น Corolla CROSS
 ด้านท้ายเป็นจุดสวยที่ลงตัว เรียบง่ายหรูหราที่สุดของรุ่นนี้ ไฟท้ายยกเว้นตัวล่างจะเป็น LED พร้อม Light Guide
 ล้อตัวท๊อปและรองท็อปจะเป็นล้อ 18 นิ้ว พ่นสีเทาปัดเงาหน้าสีเงิน ขนาด 18 นิ้ว น่าจะกว้างแค่ 7-7.5 นิ้ว ยาง Michelin Primacy 4 225/50/18 ยางขนาดใหญ่เอาเรื่อง ตอนเปลี่ยนคงจะแพงใช้ได้
 ซุ้มล้อหน้า มีบังโคลนปิดซุ้มพลาสติค ครึ่งนึง ด้านในปล่อยโล่ง
 ซุ้มล้อหลังเป็นพลาสติคแบบสักหลาด เพื่อช่วยในการเก็บเสียง ให้เเสียงข้าทางประตูหลังแถวเบาะหลังลดลง ทำให้นั่งหลังเงียบมากขึ้น
 ภายในตัวท๊อปและรองท๊อปมีเบาะ 2 สีให้เลือกขึ้นกับสี่ภายนอก คือสีดำ และสีแดง ภายในดูคล้าย Altis มากๆ
 คอนโซลหน้าเหมือนยกมาจาก Altis แต่ด้วยความรถสูงกว่า หน้าต่างบานใหญ่กว่าทำให้ดูโล่งโปร่งสบายตากว่า Altis และตำแหน่งเบาะที่สูงกว่า Altis ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะคอนโซลสูงแบบที่ Altis เป็นอยู่
 คอนโซลหน้าหุ้มหนังสังเคราะห์สีแดงหรือสีดำ แบบบุนุ่ม แต่ไม่บุนุ่มถึงใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับนะครับ
 แผงประตูหน้า ออกแบบใช้ได้ หุ้มหนังบุนุ่มบริเวณสีแดงและบริเวณสีดำที่ท้าวแขน
 แผงประตูหลัง หุ้มหนัง บุนุ่มเหมือนด้านหน้า เย้ๆๆๆ คนนั่งหลังเท่าเทียมคนนั่งหน้าซักที ไม่เป็นพลาสติคแข็งทั้งบานแบบ CHR หรือ Altis ตัว 1.6
 ตัวท๊อปมีไฟ Ambient light สีฟ้าในช่องเก็บของบริเวณหน้าเกียร์และแผงประตู ไม่ได้เป็นช่อง Wireless Charge แบบของ Altis นี้คือ 1 ออฟชั่นที่ถูกตัดออกจาก Altis แต่เชื่อว่ารอใส่ตอน Minor change
 เบาะหลังพับได้ 60:40 ปรับเอนได้ 2 ระดับ ถ้าปรับตั้งก็จะพอๆกับ CX30 CHR แต่ถ้าปรับเอน 1 ระดับจะกำลังดี
 เบาะหลังพับแล้ว ไม่เป็นระนาบเดียวกับกับพื้นที่วางสัมภาระด้านท้ายนะครับ ต้องแลกกันระหว่างเบาะหนานุ่มแต่ไม่ระนาบ กับเบาะบางกรอบแต่ระนาบ แอดมินชอบแบบเบาะหนานุ่มมากกว่า
พื้นที่สัมภาระด้านท้ายใหญ่กว่า CHR XV พอๆกับ CX30 แต่ก็ยังเล็กกว่า HRV อยู่ดี

 
ขนาดความยาว เวลามองเหมือนจะยาวกว่า Altis แต่ดูจากรูปเทียบระยะจริงกับ Altis สีแดงที่จอดด้านข้าง  Corolla Cross จอดด้านหน้ายื่นมานิดหน่อย แต่พอลองไปดูด้านท้าย จะเห็นว่า Altis ยาวกว่าเยอะเลย แสดงว่ารูปลักษณ์ดูเหมือนยาว แต่จริงสั้นกว่า C-Segment Sedan ดังนั้นขับในเมือง หรือจอดตามที่จอดหน้าจะง่ายกว่าที่คิด

ด้านใต้ท้ายรถปล่อยเปลือย มีแท่งเหล็กชี้ลงมา 1 แท่งน่าจะเป็นสำหรับตัวขับสี่ สังเกตุได้จากตัวคานบิดของช่วงล่างหลัง ที่ตรงกลางโค้งขึ้น โดยโตโยต้าบอกว่าเพื่อความแข็งแรง แต่ก็อาจจะยกโค้งขึ้นเพื่อเพลาขับหลังก็เป็นได้ ช่วงล่างด้านท้ายเป็นคานบิดแบบ Altis ตัวเก่า เหมือน CX30 HRV  จุดนี้ให้จำภาพให้ดีๆนะครับ มันมีจุดที่แตกต่างกับตัวเบนซินธรรมดาตามรูปด้านล่าง

             2. 1.8 Sport   959,000 บาท ตัวเริ่มต้น ราคาโปรภายใน 30 ก.ย.63 นี้ลดพิเศษ 30,000 บาท

 ตัวเริ่มกระจังหน้าจะเป็นสีดำเงา (ตรงกันข้ามกับ Civic ที่ตัวเริ่มต้นเป็นโครเมียม ตัวท๊อปเป็นดำเงา ซึ่งขัดแย้งกับต้นทุน เพราะกระจังเงาโครเมียมราคาแพงกว่าดำเงา) โดยส่วนตัวแอดมินชอบดำเงาแบบนี้มากกว่า ดุดี อยู่กับรถสีดำ สีเงิน สีเทาดูเข้มดี ไม่มีไฟตัดหมอก ซี่ในกระจังจะเหมือนกันทุกเกรดเป็นดำเงา
 ไฟหน้าเป็นแบบ Projector ลูกแก้ว แต่หลอดเป็นฮาโลเจนสีเหลืองแบบดั้งเดิม ไฟ DRL เป็นหลอดสีเหลือง ไม่ใช้ LED แบบเส้นๆ จุดนี้คือจุดที่แอดมินเสียดายอยากได้มาก เพราะไปใส่หลอด LED เองก็ไม่สวยเท่า
 ไฟท้ายเป็น LED สำหรับไฟหรี่และไฟเบรค ไม่มี Light Guide เหมือนเกรดอื่นๆ  ส่วนแผงทับทัมในฝากระโปรงไม่มีไฟ เป็นดัมมี่ปิดไว้เฉยๆ
 แถบบนหน้าต่างกระจกข้างบานที่ 3 เป็นสีดำด้านพร้อมชื่อ Corolla CROSS
 
 ล้อเป็นล้อ Alloy (ไม่ใช้ล้อเหล็ก) พร้อมฝาครอบพลาสติคสีเงิน ขนาด 17 นิ้ว ยาง  Bridestone  215/60/17  ถ้าแอดมินซื้อจะถอดฝาครอบออก เมื่อใช้ไปสักพักเผื่อเบียดฟุทปาทจะได้เป็นรอยเฉพาะฝาครอบ หรือเป็นเป็นล้อ 17 ลายอื่นๆ แต่ใช้ยางเดิมติดรถ
 อันนี้คือจุดแตกต่างบริเวณท้ายรถด้านล่าง ของตัว 1.8 เบนซินธรรมดามีแผ่นปิดนะครับ ให้ลองไปเปรียบเทียบกับรูปสุดท้ายของตัวท๊อปด้านบน
 ภายในหลักๆจะเหมือนตัวท๊อปที่เป็นเบาะหนังสีดำ  จากรูปนี้จะเห็นว่าทัศนวิสัยกว้างขวาง โปร่งตาดีมาก มีจุดบอดบริเวณเสา A น้อย

 ทรงเบาะนั่งจะเหมือนกันทุกเกรดต่างกันแค่สีเบาะ แต่ตัวล่างกับตัวรองตัวล่างจะเป็นเบาะแบบปรับมือ

 พวงมาลัยเหมือนกัน แต่จะตัดปุ่มของพวก Safety Dynamic Radar Cruise control ออก แต่ก็มี Cruise Control แบบปกติมาให้ที่ปุ่มด้านขวาบนพวงมาลัย
หน้าปัทม์ของ 2 เกรดล่าง เป็นแบบธรรมดาเหมือนตัว Altis 1.8 GR คือเป็น มาตราวัดอนาลอคเข็ม 4 เข็ม และหน้าจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้วทางด้านขวา หน้าปัทม์แบบนี้ของรถโตโยต้าเป็นหน้าปัทม์ที่เชยมากๆ แต่ก็ดีตรงอ่านค่าง่าย มีเฉพาะค่าที่จำเป็นในการใช้งานครบ ไม่รกตา


 วิทยุจอกลางเหมือนกันทุกรุ่น เป็นขนาด 9 นิ้ว พร้อม Apple Car Play แอร์ตัวล่างเป็นอัตโนมัติไม่แยกซ้าย-ขวา แต่ไม่รู้มีฮีทเตอร์ไหม แอดมินลืมเช็ค
 
  คอนโซลหน้าหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำ แบบบุนุ่ม เหมือนกันทุกตัว แต่ไม่บุนุ่มถึงใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับนะครับ
 ที่ท้าวแขนตรงกลางหุ้มหนัง พร้อมที่เก็บของ มีที่วางแก้ว 2 ที่
 หลังคาทุกเกรดที่ไม่ใช้ตัวท๊อป ที่ไม่มีซันรูฟจะโล่งโปร่งกว่า มีพื้นที่ Headroom มากกว่าเพราะไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับชุดซันรูฟ
 
 แผงประตูหน้า-หลัง หุ้มหนังเทียบ บุนุ่มเหมือนกันทุกเกรด และบุนุ่มตรงบริเวณศอกที่ท้าวแขนด้วย
 พื้นที่เบาะหลัง Legroom ไม่กว้างเหมือนหน้าตาภายนอก ใหญ่กว่า CHR และ CX-30 แต่สู้ HRV ไม่ได้ ตัวเบาะหนานุ่มใช้ได้ ไม่สั้นเกินไป
 
ระยะพื้นที่เหลือประมาณ 1 คืบจากเข่า แอดมินสูง 170 ซม. 

การขับขี่และสมรรถนะ
             เนื่องจากเป็นการขับทดสอบในสนามปิดสั้นๆของ TDEX จะไม่สามารถจับอาการได้เหมือนที่ไปลองขับกันแบบยาวๆนะครับ แต่จากการได้ขับทั้ง 2 ตัวคือ ตัวท๊อปไฮบริดและตัวเริ่มเบนซินธรรมดาแบบติดๆกัน จึงทำให้จับอาการและความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวได้ชัดเจน
            - อัตราเร่ง
            อันนี้คือจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดมาก ตัว Hybrid จะอืดในจังหวะออกตัวตอนแรก แต่พอรถเริ่มเคลื่อนที่ก็จะพุ่งได้เร็วกว่ารถตัวธรรมดาเนื่องจากมีแรงบิดมอเตอร์มาช่วย แต่เมื่อเร่งต่อไปเรื่อยๆ ช่วง 80 กม./ชม.ขึ้นไป อัตราเร่งจะไปแบบเนิบๆ เหมือนอัตราเร่งของ City Vios เครื่อง 1,500 ซีซี  ถือว่าแรงแบบปกติ ไม่หวือหราอะไรเลย เผลอๆ ช่วงความเร็วกลางถึงสูงอาจจะแพ้ B-segment เครื่อง 1,500 ซีซีด้วยซ้ำ และเทียบกับ CHR Hybrid Altis Hybrid จะอืดกว่าแบบรู้สึกได้นิด ซึ่งไม่ต้องเทียบกับ HRV หรือ CX-30 ที่ไปได้เร็วกว่าแบบรู้สึกได้เลย แต่ก็เร็วกว่า Eco-car เครื่อง 1,200-1,300 ไม่มีเทอร์โบ และก็เร็วสู้ City Turbo Almera Turbo ไม่ได้แน่นอน ส่วน Kicks ก็น่าจะแรงกว่าแน่ๆ เพราะมอเตอร์ใหญ่กว่าแรงบิดสูงกว่า (แอดมินยังไม่ได้ลองขับ Kicks เลย เศร้า...)
            ตัวเบนซิน อัตราเร่งดีกว่าตัวไฮบริดแบบชัดเจน คนละเรื่อง (อารมณ์เหมือน Civic 1.5 turob กับ 1.8 ธรรมดา แต่ไม่แรงเท่า Civic Turbo นะครับ ยังห่างกันเยอะเลย) อารมณ์คล้าย Altis 1.8 เลยช้ากว่าแค่นิดเดียว แต่เหมือนจูนคันเร่งมาให้กระฉับกระเฉงกว่า Altis นิดนึงเพื่อชดเชยน้ำหนักที่มากกว่า ทำให้เวลากดแล้วรถพุ่งเหมือนแรงดี แต่เวลาเร่งออกตัวช่วง 20-80 จะช้ากว่าตัวไฮบริดนะครับ แต่พอเลย 80 กม./ชม.แล้ว รถพุ่งรอบดึงดีกว่าตัวไฮบริดแบบรู้สึกได้ เหมือนรถคนละรุ่น ตัวไฮบริดทำตัวเป็นรถครอบครัวแบบขับไปเรื่อย เร่งบางนิดหน่อย ส่วนตัวเบนซินธรรมดาทำตัวเป็นรถครอบครับ ขับช้าๆเวลามีลูกนั่ง แต่เวลาขับคนเดียวก็แอบซิ่งเร่งแซงทันใจ จุดนี้แอดมินยืนยันว่าแตกต่างกันชัดเจน และอัตราเร่งตัวเบนซินดีกว่าทำให้รถคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกถูกใจมาก จนมองข้ามไฟหน้าสวยและความประหยัดของตัวไฮบริดไปเลย
          - พวงมาลัย 
           พวงมาลัยเบากว่า CHR และเบาใกล้เคียง Altis ซึ่งตัว Corolla Cross ธรรมดาและไฮบริดน่าจะทดมาเหมือนกัน แต่เวลาขับเร็ว หรือหักหลบสลาลอม ตัว 1.8 ธรรมดากับขับได้คล่องแคล่ว การโคลงน้อยกว่าตัวไฮบริดแบบรู้สึกได้ ตัวธรรมดาเวลาสลาลอมมีความใกล้เคียง CHR มากกว่าไฮบริด สามารถเติมพวงมาลัยได้มากกว่า หักแรงได้มากกว่า รถจะออกอาการแบบที่คนขับรู้สึกว่ามั่นใจควบคุมได้มากกว่า แต่ภาพรวมพวงมาลัยก็สู้ CX-30 ไม่ได้แน่นอนทั้งรุ่นนี้  แต่เป็นรถโตโยต้าที่ขับสนุกขึ้นเยอะ
         - ช่วงล่าง
          จุดนี้ก็แตกต่าง แอดมินไม่แน่ใจว่าทางโตโยต้า เซ็ตติ้งต่างกันไหมพวกสปริงเรท ความหนืดโช็คอัพ หรือขนาดเหล็กกันโคลง เพราะรถทั้ง 2 เกรด ขับอาการออกแตกต่างกันพอสมควรเลย ตัวไฮบริดจะทำตัวเป็นรถครอบครัวสายสุภาพนุ่มๆ รถดูมีน้ำหนักจะนิ่มกว่า นิ่งๆ ดิ้นน้อยกว่าตัวธรรมดา ส่วนตัวธรรมดาช่วงล่างจะกระฉับกระเฉงกว่า ขับสนุกกว่าแบบเห็นได้ชัด ขับทั่วไปจะไม่รู้สึก แต่พอขับสลาลอมตัวไฮบริดจะเปลี่ยนเลนแบบรถหนัก สะสมแรงเหวี่ยง กรวยแรกๆจะนิ่งๆ แต่กรวยหลังจะเริ่มออกอาการแบบหน่วงๆ ส่วนตัวธรรมดาจะเปลี่ยนเลนได้ตามองศาการหมุนของพวงมาลัยเลยหักเท่าไหร่ได้ตามนั้น เป็นรถที่เกิดอาการตามการสั่งการควบคุมของคนขับดีเลย แอดมินขับตัวไฮบริดสลาลอมแล้วเฉยๆ แต่พอขับตัวธรรมดาแล้วสนุกมาก แม้ตัวรถจะมีการดิ้นเล็ก อาจจะเพราะรุ่นยางติดรถและยางอ้วนแคบหร้าแคบกว่า และช่วงล่างที่แข็งกว่าตัวไฮบริดเล็กๆ แต่เป็นอาการที่ควบคุมได้มั่นใจ ขับสนุกจนทำแอดมินยิ้มมุมปากนิดๆ แบบคิดในใจว่า TNGA แม้จะเป็นคานบิดมันต้องขับสนุกแบบนี้สิ ถึงจะสู้คนอื่นๆได้ สไตล์แอดมินชอบช่วงล่างตัวล่างมากกว่าไฮบริดเยอะเลย
          ช่วงล่างทั้ง 2 เกรด แอบนุ่มกว่า CHR แต่พอจังหวะที่ยุบเยอะด้วยช่วงล่างที่เป็นคานบิดจะเริ่มแข็งทำให้ CHR ดูซับแรงกระแทกหนักๆได้ดีกว่า ซึ่งทั้ง CHR และ Corolla cross นิ่มกว่า CX-30 และไม่แน่นเท่า CX-30 แน่นอน ถ้าเน้นช่วงล่างขับสนุกแข็งๆไป CX-30  แต่ถ้าเอาขับสนุกนุ่มๆไป CHR ถ้าเอาแบบขับสนุกกลางๆ นุ่มประมาณนึงมา Corolla Cross  (ถ้าอยากสนุกมากกว่านิดๆ เลือกตัวเริ่มตนเครื่องธรรมดา)


สรุปภาพรวม
        ส่วนนี้จะเป็นการตอบคำถามว่าทำไมถึงมี Corolla Cross เป็นตัวเลือกต้นๆ สำหรับรถใช้งานคันใหม่ของแอดมิน โดยต้องเป็นรถราคาไม่เกิน 1.1 ล้าน คุ้มค่า ขับสนุก ไม่กินน้ำมันมาก ทน ซ่อมง่าย ซ่อมไม่นาน อะไหล่หาง่าย ใส่ของได้จุพอประมาณ ช่วงล่างนุ่มกำลังดี ขับเร็วๆไม่ย้วย พวงมาลัยคมมั่นใจ ออฟชั่นพื้นฐานครบ ระบบความปลอดภัยพื้นฐานครบ แอร์แบคต้องมีด้านข้างและม่านนิรภัย จากเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ แอดมินมองว่า Corolla Cross ตัว 1.8 Sport 959,000 บาท และตัว Hybrid Smart 1,019,000 บาท เข้าอยู่ในเงื่อนไขด้านบนหมดทุกข้อ  แต่แอบเอนเอียงไปทางตัว 1.8 Sport มากกว่าเพราะขับสนุกกว่าตัวไฮบริดเยอะเลย ในอนาคตอันใกล้ Toyota Corolla Cross อาจเป็นรถโตโยต้าตันที่ 2 ของแอดมินต่อจาก Toyota Wish ที่เป็นรถที่คุ้มค่าและขับสนุกในยุคปี 2004 ก็เป็นได้ แอดมินเลือกรถแต่ละคันต้องดีพร้อมในทุกๆส่วนครับ รถโตโยต้ารุ่นนี้ไม่ได้กลางๆเหมือนรุ่นอื่นๆ มีหลายส่วนที่มันมีดีพอตัวเลยนะครับ


* สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ** ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master *** ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

1 ความคิดเห็น: