ในตอนแรกนั้น แอดมินแปลกใจนิดๆว่าทำไม Mazda Thailand ถึงได้เอา CX-8 เข้ามาขาย พอได้ลองมานั่งวิเคราะห์ดีๆ ก็จะพบว่า ปัจจบุันตลาดรถ SUV ขนาดใหญ่สำหรับครอบครัวกำลังเป็นที่นิยมมากกว่ารถเก๋ง Sedan อย่าง Accord Camry Teana ที่เริ่มมีความนิยมน้อยลงหรือขนาดของตลาดลดลง แต่รถ SUV ขนาด D segment หรือรถ 7 ที่นั้งสำหรับครอบครัวกลับเป็นที่นิยมหรือตลาดขยายตัวมากขึ้น นั้นก็เพราะรถกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเมืองไทยมีราคาตั้งแต่ 1.3 ล้านจนถึงเกือบ 2 ล้าน เป็นรถที่มีความเอนกประสงค์มาก ใช้งานได้หลากหลาย ขนคนก็ได้ ขนของก็ดีนั้น ว่าง่ายๆคือ ซื้อรถมาคันเดียวใช้ได้ครอบจักรวาล ซึ่งเหมาะกับเมืองไทยมากๆ เนื่องจากรถคันนึงมีราคาแพงมากๆเมื่อเทียบกับค่าครองชีพของเรา
ตลาดกลุ่มนี้ในปัจจุบัน มีผู้เล่นอยู่หลายคัน ได้แก่
- รถ PPV (SUV พื้นฐานกระบะ) อย่าง Fortuner MU-X Pajero Everest ที่มีข้อเสียคือ ขนาดใหญ่เทอะทะเกินไป ช่วงแข็งนั่งไม่สบาย หรือนั่งแล้วโคลงเวียนหัว
- รถ SUV พื้นฐานเก๋งอย่าง CRV X-Trail ซึ่งก็มีขนาดที่นั่งเบาะแถวสามเล็กเกินไปนั่งได้ แต่นั่งไม่สบายสำหรับผู้ใหญ่
- รถ MPV ครอบครัวอย่าง Majesty Carnival ที่เป็นรถตู้เกินไปใหญ่ ขับเองแล้วเหมือนคนขับรถหรือจะไป Vellfire/Alphard ก็ราคาสูงโอเวอร์ไปมากๆ
หลายคนอาจจะมองว่ารถทั้งหมดนี้คนละตลาด แต่แอดมินมองว่าในงบไม่เกิน 2 ล้าน รถคอบครัว เอนกประสงค์ นั่งได้ 7 คน ดูดีมีตังค์หน่อย รถกลุ่มด้านบนนี้ก็เข้าข่ายทั้งหมด
จากมุมมองทั้งหมดนี้ แอดมินพยายามมองแนวคิดและกลยุทธ์ของ Mazda Thailand ว่าการที่นำเอา CX-8 เข้ามาขายเป็นโอกาสและมีข้อดีดังนี้
1.สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีความหรูหรา ดูดีมากขึ้น มากกว่าภาพลักษณ์รถวัยรุ่นแบบในปัจจุบัน เนื่องจากไม่อยากเอา Mazda 6 มาแข่งในตลาดเล็กๆอย่างรถเก๋ง D-Segment ที่แบ่งเค้กกันไปหมดแล้ว เรามาขายรถ SUV ที่มันดูพรีเมียมราคาใกล้ 2 ล้านแทนดีกว่า
2.เพิ่มช่องทางการตลาดสำหรับคนหารถครอบครัว 7 ที่นั่ง ที่เบื่อรถแบบ PPV ที่ขับไม่สนุก แข็ง เวียนหัว โคลงเกินไป มองหารถที่ขับสนุก นั่งสบาย โดยเฉพาะแถวที่สองและแถวที่สาม และกว้างกว่ารถ SUV อย่าง CRV X-Trail ที่เบาะแถวสามเล็กเกินไป
ภายนอก
รถคันที่ถ่ายรูปเป็นเกรด 2.5 SP ตัวท๊อปเบนซิล 1,699,000 บาท ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่ขายดีที่สุด เพราะ ออฟชั่นครบ ราคาเหมาะสมมุมมองด้านหน้านั้นแทบจะยกมาจาก CX-5 ทั้งหมดเลย มีเพียงส่วนของกระจังหน้าที่แตกต่าง จากเดิมที่ CX-5 จะเป็นแบบตาข่ายถี่ๆแนวทะแยง แต่ CX-8 กับเปลี่ยนเป็นกระจังซี่ๆ 6 ซี่ แนวนอนซึ่งไปคล้ายกับ CX-3 แทน ในมุมมองของแอดมินมองว่ากระจังซี่ๆแนวนอนแบบนี้ ทำให้หน้ารถดูเล็กดูบาง ไม่หรูหรา ซึ่งแอดมินชอบแบบของ CX-5 มากกว่าเหมาะกับ CX-8 ที่ต้องการให้ดูหรูหราดูดีมากกว่า อาจจะเปลี่ยนเป็นแบบตาข่ายตอน Big Minorchange
ส่วนไฟตัดหมอกซึ่งมีเฉพาะรุ่นท๊อป ซึ่งแอดมินอยากพูดตรงๆว่า ณ ปัจจุบันที่เทคโนโลยี่ไฟหน้าพัฒนาไปไกลมากแล้ว ไฟหน้าแบบ LED นั้นสว่างเหลือเฟือ จนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีไฟตัดหมอกเลยด้วยซ้ำ และการที่กันชนหน้ารถไม่มีไฟตัดหมอกนั้น แอดมินก็ไม่ได้มองว่ามันไม่สวยหรือดูขาดอะไรไป เพราะจริงๆถ้าเราไม่ยึดติดกับไฟตัดหมอก ค่ายรถยนต์สามารถจะออกแบบกันชนให้เป็นรูปทรงใหม่ๆ ทันสมัยดีซะอีก ไม่ต้องมาพะวงกับต่ำแหน่งของไฟตัดหมอกแบบในปัจจุบัน (ปัจจุบันไฟหน้าแบบ LED สว่างกว่าไฟฮาโลเจนสีเหลืองมากกว่า 2 เท่าขึ้นไปด้วยซ้ำ)
มุมมองด้านข้าง เส้นสายตัวถังก็เหมือนกัน CX-5 ที่เราเห็นจนชินตาแล้ว แต่จะมีการเพิ่มความยาวตั้งแต่กระจกด้านข้างบานที่ 3 เป็นต้นไป
มุมมองด้านท้ายตรงๆ จะดูกว้างและแบนๆกว่า CX-5 ชายล่างกันชนเป็นพลาสติคสีดำ ท่อไอเสียคู่ มีคิ้วโครเมียมเพิ่มขึ้นมาจาก CX-5 ลากเชื่อมระหว่างไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง ทำให้ด้านท้ายดูมีสัดส่วนและทำให้ท้ายรถดูกว้างมากขึ้น
ล้อแม็กซ์อัลลอยขนาด 19นิ้ว X กว้าง 7 นิ้ว ออกแบบเป็นลายก้านคู่ 10 ก้านแต่ออกแบบการให้มีมิติเหมือนการบิดที่ก้าน ทำให้ล้อเหมือนมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ยางเป็นยาง Toyo Proxes R46 ขนาด 225/55 R19 เป็นยางที่เน้นแนวนุ่มเงียบ ขนาดแก้มยางค่อนข้างอ้วน ขับถนนในเมืองไม่ต้องระวังแม็กซ์ดุ้งมากนัก
นี้คือรูปการเปรียบเทียบช่วงรถด้านข้างสำหรับกระจกบานที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบความยาวระหว่าง CX-8 สีขาวและ CX-5 สีแดง จะสังเกตุได้ว่ากรอบกระจกด้านข้างบานที่ 3 ยาวต่างกันเยอะมาก และส่วนท้ายของ CX-8 จะแหลมกว่า ส่วน CX-5 จะมนๆ
แผงประตูหน้าก็เหมือน CX-5 วัสดุเดียวกันด้วยซ้ำ ด้านบนบุนุ่มหุ้มวัสดุหนังสังเคราะห์ เดินตะเข็บด้ายจริง ส่วนที่ท้าวแขนก็หุ้มหนังเดินด้ายจริงเหมือนกัน วัสดุการตัดเย็บดูละเอียดเรียบร้อยดีมาก
แผงประตูตบแต่งด้วยทริมพลาสติคพิมพ์ลายไม้แบบ Real Wood และขอบด้านล่างด้วยสีเงิน เหมือนคอนโซลหน้า
มุมมองนี้น่าจะยกมาจาก CX-5 เลยวัสดุเหมือนกัน การตบแต่งเหมือนกัน
ช่องแอร์ ปุ่มสตาร์ท ปุ่มควบคุมแอร์ หัวเกียร์ ยกมาจาก CX-5 ทั้งหมดในส่วนของคอนโซลกลางเป็นจุดที่แอดมินพอจะเทียบความต่างกับ CX-5 ได้ออก บริเวณฐานเกียร์ของ CX-5 จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนของกรอบเกียร์และปุ่มปรับโหมดจะตบแต่งด้วย Piano black แต่ในส่วนของปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและเบรคมือจะล้อมกรอบด้วยพลาสติคสีดำด้านธรรมดา แต่ของ CX-8 จะเป็นกรอบเดียวกันและตบแต่งด้วย Piano black ทั้งหมด และมีขอบโครเมียมที่กว้างและใหญ่กว่า CX-5 ชัดเจนเพื่อบ่งบอกความหรูต่างกันอย่างชัดเจน แต่ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและเบรคมือเหมือนกัน
พวงมาลัย ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย และหน้าปัทม์เหมือนกับ CX-5 ที่เราคุ้นเคย
ที่ท้าวแขนตรงกลางคืออีกจุดที่ CX-8 แตกต่างจาก CX-5 และดูหรูหรากว่าอย่างชัดเจน ด้วยการเปิดช่องเก็บของจากกึ่งกลางแยกฝาออกเป็น 2 ชิ้น แบบเดียวกับที่นิยมใช้ในรถยุโรป
เบาะหน้าแม้ทรงจะคล้ายๆ CX-5 แต่จริงๆแล้วไม่เหมือนกัน การตบแต่งและลวดลายต่างกัน ของ CX-5 จะมีลักษณะเป็นหลุมมากกว่า แต่ของ CX-8 จะเหมือนโอบรับช่วงหลังมากกว่าโดนเฉพาะช่วงไหล่ถึงต้นคอด้านหลังจะออกแบบเว้าหลบ ส่วนของ CX-5 จะเป็นนูนๆ ทำให้ CX-8 เบาะนั่งสบายกว่า และวัสดุดีกว่า CX-5 รุ่นปกติที่ไม่ใช้เบนซิล 2.5 เทอร์โบ
หนังแท้ในส่วนที่สัมผัสก้น หลังนั้นนุ่มเนียนละมุนกว่าอย่างชัดเจน เพราะแอดมินได้ไปสัมผัสเปรียบเทียบทั้งคู่พร้อมกัน
เบาะคนขับปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทางพร้อมระบบดันหลัง และระบบบันทึกตำแหน่งคนขับ 2 ตำแหน่ง ปุ่มอยู่ที่ขอบมุมด้านขวาของเบาะในรูป ให้ออฟชั่นมาเต็มคุ้มราคา 1.7 ล้านมาก
เบาะคนนั่งปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ปุ่มเป็นสีเงินสวยงาม
วัสดุเบาะในส่วนที่เป็นรูพรุนสีดำออกน้ำตาลนั้นคือส่วนของวัสดุหนังแท้ที่เป็นหนังเกรดพิเศษดีกว่า นุ่มกว่า เนียนกว่า ละมุนกว่าของ CX-5 และแอดมินว่าผิวสัมผัสดีกว่าเบาะของ X1 และ GLA เยอะมาก อันนี้แอดมินพูดจริง จุดนี้ต้องชมในรถราคาแค่ 1.7 ล้าน ให้หนังมาดีกว่าทุกคันที่ขายจริงๆ
แผงประตูหลังบุนุ่ม หุ้มหนังสังเคราะห์เหมือนบานหน้า ดูดี เรียบร้อยดี เหมาะสมกับราคารถ
จุดนี้คือจุดเด่น สำหรับเบาะแถวสอง เนื่องจากมีชุดควบคุมแอร์สำหรับด้านหลังแยกทั้งอุณหภูมิและความแรงพัดลม รวมทั้งยังสามารถอุ่นเบาะหลังด้วยลมร้อนได้อีกด้วย ออฟชั่นแบบนี้ต้องซื้อเคมรี่ 1.8 ล้านถึงจะมี แต่นี้อยู่ในรถราคาแค่ 1.7 ล้าน ใต้ชุดควบคุมแอร์มีช่อง ACC. ให้ด้วยแต่แอดมินจำไม่ได้ว่ามีช่อง USB ไหมนะครับ
แต่ แต่ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนสำหรับแอร์ที่เบาะแถวสามเพราะไม่มีช่องแอร์บนเพดานมาให้ ต้องอาศัยแรงลมแอร์จากใต้เบาะแถวสองที่ลอดมายังช่วงขาของคนนั่งแถวสาม ซึ่งแอดมินยังไม่ได้ลองนั่งแถวสาม ไปข้างนอกจริงจัง ก็เลยไม่รู้จะเย็นเพียงพอไหมนะครับ
ที่ท้าวแขนของเบาะแถวสอง มีขนาดใหญ่ พร้อมหลุมวางแก้วเป็นมาตราฐาน พร้อมทั้งยังมีฝาปิดสำหรับใส่ของเล็กๆน้อยๆได้อีกด้วย
เมื่อถอยเบาะแถวสองไปสุดราง จะได้พื้นที่วางขาดังในรูป เบาะหน้าปรับให้คนสูง 170 ซม.ขับนะครับ ก็ถือว่ามีระยะที่ยาว กว้างใช้ได้ แต่ไม่กว้างเท่าที่คิดตามความยาวด้านนอกของรถ แต่กว้างกว่า CX-5 แน่นอน
เบาะแถวสองเมื่อถอยเบาะจนสุดแบบชัดๆ แต่สังเกตุว่าตัวเบาะจะมีส่วนโอบกระชับต้นขาและหลังมากกว่าอย่างชัดเจน ไม่ได้เรียบแบบๆแบบ CRV ถือว่ากว้างขวางใช้ได้
นี้คือลักษณะการพับเบาะแถว 2 เพื่อจะเข้าไปยังเบาะแถว 3 โดยการดึงที่พับเบาะ ที่ด้านบนซ้ายของเบาะในรูป เมื่อดึงขึ้น เบาะก็จะพับผนังพิงเบาะไปด้านหน้า เมื่อพับสุดแล้วให้เราดึงเบาะเลื่อนไปด้านหน้าจนสุดแบบในรูป
นี้คือช่องทางเข้าเบาะแถว 3 เมื่อพับเบาะแถว 2 ไปด้านหน้าจนสุด ก็ถือว่าช่องไม่ได้เล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ ยังต้องมีความพยายามในการเข้าไปนั่งเบาะแถว 3 นิดหน่อย ให้สังเกตุว่าตัวเบาะแถว 3 จะยกจากพื้น ไม่ได้แบนราบวางติดพื้นแบบ PPV บางรุ่น ทำให้เวลานั่ง เข่าไม่ตั้งชันจนเกินไป
พื้นที่เก็บของท้ายรถ เมื่อมีการนั่งเต็มจำนวนถึงเบาะแถว 3 ก็จะมีพื้นที่ให้วางของหรือกระเป๋าได้อีกเล็กน้อยตามรูป แต่จะวางกระเป๋าเดินทางตามยาวแบบนอนคงไม่ได้ อาจจะต้องวางนอนตามขวางหรือวางตั้งแทน
เครื่องยนต์เป็นเครื่องเบนซิล 2,488 ซีซี 4 สูบ 194 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 258 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอมต่อนาที เป็นบล็อคที่เราคุ้นเคยจาก CX-5 โฉมแรกที่เคยมาขายในไทย ที่ได้ถือว่าเป็นเครื่องที่แรงจนทำให้ CX-5 2.5 เบนซิลยุคนั้นไล่กวดรถยุโรปเครื่องดีเซล 2,000 ซีซีได้ และถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่น่าใช้เพราะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เหมือนเครื่องดีเซล 2.2 ที่น้ำดัน หรือเครื่องเบนซิล 2.0 ที่ช่วงหลังมีปัญหาเรื่องปั้มติ๊ก
แต่แอดมินก็อยากให้แยกเรื่องปั้มติ๊กออกจากเครื่องยนต์นะครับ เพราะในช่วงแรกไม่มีปัญหาเรื่องปั้มติ๊กเลย แต่พอมาช่วงหลังดันมีปัญหาเกือบทุกรุ่นที่เป็นเครื่อง 2.0 ไม่รู้เป็นเพราะทางมาสด้าเปลี่ยน Supplier หรือมีการปรับสเปคเพื่อลดต้นทุนก็เป็นได้ แต่ต้องเข้าใจกันก่อนว่าปั็มติ๊กที่สำหรับเติม E85 ได้นั้นมีวัสดุที่ทนการกัดกร่อนและราคาแพงกว่าปั้มติ๊กปกติมาก อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนสเปคเพื่อลดต้นทุนก็เป็นได้ ล่าสุดแอดมินได้ข่าวว่ามีการเปลี่ยน Supplier จากเจ้าพ่อญีปุ่น Dens.. ไปเป็น Bosch เพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งแอดมินฟังแล้วก็แปลกๆยังไม่เชื่อซะทีเดียว เพราะปกติไม่ค่อยมีใครเปลี่ยน Supplier กันกลางคัน แต่ถ้าเป็นจริงพอเปลี่ยน Supplier แล้วสเปคปัั้มติ๊กต้องเปลี่ยนไปแน่นอนเพราะชิ้นส่วนพวกนี้เป็นชิ้นส่วนที่เป็น Know-how ของ Supplier ไม่ใช้ดีไซน์จาก บ. รถยนต์โดยตรงเสียทีเดียว
ความรู้สึกหรือฟิลลิ่งหลังจากได้ทดลองขับ
ก่อนที่จะได้ขับนั้น แอดมินคาดการณ์ไว้ว่ามันต้องอืดนิดหน่อยแน่ๆ เพราะถึงแม้จะเป็นเครื่องเบนซิลขนาดใหญ่ 2.5 ลิตรก็ตาม แต่ด้วยขนาดรถที่ใหญ่ ยาวกว่า CX-5 เยอะเหมือนกัน แต่พอได้ขับแค่กดคันเร่งออกตัวก็เกินคาดแล้ว
- อัตราเร่ง
CX-8 2.5 SP มีการจูนคันเร่งที่ค่อนข้างจะติดเท้ามาก คนขับจะรู้สึกได้เลยตั้งแต่เหยียบคันเร่งออกตัว เมื่ิอแตะคันเร่ง รถก็จะพุ่งไปข้างหน้าทันที ไม่รู้สึกอืดเหมือนรถครอบครัว 7 ที่นั่งทั่วไปเลย เมื่อขับหรือเร่งเครื่องเพื่อทดสอบอัตราเร่ง รถก็สามารถเร่งรอบขึ้นได้ดี ค่อนข้างทันใจ และแรงกว่า CX-5 2.0 แน่นอน เพราะขับแล้วรู้สึกว่ารถมันมีกำลังเหลือเฟือพร้อมที่จะเร่งแซง แต่ตอนที่แอดมินลองขับนั้นนั่งแค่ 2 คน น้ำหนักรวมน่าจะไม่เกิน 120 กก.เอง ถ้ามีการนั่งเต็ม 7 ที่นั่งน่าจะเร่งได้ช้ากว่านี้ แต่แอดเชื่อว่ายังไงก็ไม่ได้อืดแน่นอน ถ้าพูดถึงความแรงก็ถือว่าเพียงพอ ค่อนไปทางเหลือๆซะด้วยซ้ำ สำหรับรถขนาดใหญ่แบบนี้ ดังนั้นในมุมมองของแอดมินไม่มีความจำเป็นที่จะเพิ่มเงินอีก 2 แสนเพื่อไปเอาตัวดีเซล XDL 1,899,000 บาท นอกจากชอบแรงดึงสั้นๆแบบดีเซล หรือเน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก แต่แอดมินยังมองว่าไม่ควรเสี่ยงกับน้ำดัน ถึงแม้ทางมาสด้าบอกว่าได้แก้ไขแล้วก็ตาม ถ้าสนใจดีเซลความจะรออีกสัก 1-2 ปี เพื่อดูว่าจะมีน้ำดันอีกหรือไม่ เพราะขนาด CX-5 ใหม่ที่บอกว่าแก้ไขแล้ว น้ำก็ยังดันให้เห็นอยู่เลย เมื่อไมล์ใกล้แสนโล
- พวงมาลัย
พวงมาลัยเบากว่า CX-5 อย่างชัดเจน เบาขัดกับขนาดของรถเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ถือว่าเบาหวิวอะไร เหมาะกับผู้หญิงเลย ผู้ชายขับก็อาจจะเบานิดๆเท่านั้น แต่ขับสักพักก็ชิน ความคมของพวงมาลัยใกล้เคียงกับของ CX-5 แต่ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าทำให้ดูเหมือนจะคมน้อยกว่า ถ้าเทียบกันแอดมินชอบความคมของพวงมาลัย CX-5 2.5 เทอร์โบที่ได้ลองขับมากกว่าเยอะเลย แต่รวมๆแล้ว พวงมาลัย CX-8 น้ำหนักก็โอเครนะครับ ไม่ได้แย่ ค่อนไปทางดี แอดมินว่าเซ็ทมาเหมาะกับประเภทและขนาดของรถ รวมทั้งสไตล์ของรถที่เป็นรถครอบครัวดีแล้ว
- ช่วงล่าง
ช่วงล่าง นุ่ม แน่น ละมุนกำลังดีเลย ภาพรวมแอดมินชอบความนุ่มของ CX-8 มากกว่า มันนุ่มแบบแน่นๆ แต่ไม่ย้วยแบบ PPV หรือ SUV บางรุ่น นุ่มน้อยกว่า Forester หน่อย แต่เหมือนแน่นกว่า และโคล่งน้อยกว่า แต่ถ้าเทียบกับ CX-5 แล้ว CX-8 รถจะแอบเอียงตัวมากกว่าเวลาเข้าโค้งแรงๆ
พูดง่ายๆ คือ นุ่มกว่า เอียงเวลาโค้งมากกกว่า แต่ยังแน่นอยู่เมื่อเทียบกับ CX-5
CX-8 น่าจะเป็นรถคันนึงของค่ายมาสด้าที่แอดมินว่าช่วงล่างถูกจริตคนทั่วไปที่สุดแล้ว เพราะหลายรุ่นจะออกไปทางแข็ง แต่นี้ออกไปทางนุ่มแน่น เป็นช่วงล่างที่แอดมินค่อนข้างชอบเลยคันนี้
สรุปถาพรวม
ใครที่กำลังหารถครอบครัว 7 ที่นั่งในราคาไม่เกิน 1.7 ล้าน ที่นั่ง 7 คนได้จริง แถวหลังไม่แคบเกินไป ยังเป็นรถที่ขับสนุกได้เวลาพ่อบ้านขับคนเดียว ช่วงล่างนุ่มแน่น แต่ไม่แข็ง หรือย้วยเกินไปแบบ PPV บางรุ่น ขนาดไม่ใหญ่เกินไป ใช้งานในเมืองได้สะดวก ขับแล้วมั่นใจ ไม่สนราคาขายต่อมากนักเพราะยังไงก็ตกเมื่อเทียบกับ PPV ถ้าโจทย์คือแบบที่แอดมินว่ามา ถ้าเป็นแบบนั้น แอดมินก็อาจเลือก Mazda CX-8 มาจอดไว้ในบ้าน แต่ก็ยังติดใจอยู่นิดนึง อยากให้มาสด้าไทย ปรับปรุงเรื่องศูนย์บริการ การเคลมอะไหล่ให้ได้ง่ายๆ และที่สำคัญที่สุดคือ อย่ามีปัญหาใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์สำหรับเครื่อง 2.5 ตัวนี้รุ่นนี้เลย หรือถ้ามีก็ขอให้แก้ให้จบ แก้ให้ขาด เพื่้อให้ลูกค้ามั่นใจได้ด้วยเถอะครับ
* สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ** ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master *** ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ











































ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น