https://drivemasterpage.blogspot.com/

รถไฟฟ้าในไทย ใช้งานได้ยากจริงไหม ขับจากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ได้ไหม? เรามาดูกัน


            ก่อนหน้านี้รถ EV หรือ รถที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเราคนไทย เนื่องจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าเป็นเรื่องของ ราคารถ สถานีชาร์จ รวมถึงการใช้งานได้จริงเวลาเดินทางไกล แต่จากล่าสุดที่มีค่ายรถแบรนด์อังกฤษ สัญชาติจีนอย่าง MG ZS EV ที่เปิดราคามาเร้าใจด้วยราคา 1.19 ล้าน สำหรับรถ Crossover ซึ่งก็ได้ทำให้ความฝันของคนไทย ที่จะมีรถไฟฟ้าใช้ เป็นจริงได้มากขึ้น จากการวิเคราะห์ของแอดมินถึงสาเหตุที่รถ MG ZS EV ทำไมถึงสามารถทำราคาได้เร้าใจแบบนี้ ประกอบด้วยหลายส่วน แต่หลักๆเลย คือ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า CBU จากจีนในอัตราภาษี 0 % ซึ่งแตกต่างจาก Nissan Leaf ที่ทำเข้าจากญี่ปุ่นที่เสียภาษีที่อัตรา 20% จึงสามารถกดราคาได้ต่ำกว่า และอีก 1 ปัจจัยก็คือ MG ZS EV เป็นการแปลงจากรถเครื่องยนต์สันดาปปัจจุบันที่ขายอยู่แล้ว แต่เอาเครื่องยนต์ออกแล้วใส่มอเตอร์และแบตเตอร์รี่ลงไปแทน ทำให้ประหยัดงบลงทุนสำหรับ R&D ไปได้เยอะมากๆ ต่างจาก Nissan Leaf ที่เป็นรถไฟฟ้าแต่กำเนิด
            จากรถที่มีขายในปัจจุบัน มีทั้งรถไฟฟ้าเพียว หรือ ใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวและไร้เครื่องยนต์ กับรถไฟฟ้าแบบไฮบริดซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้า ซึ่งรถแต่ละรุ่น มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • รถไฟฟ้า 
รถที่มีขายในไทย หรือวิ่งอยู่ในปัจจุบัน มีรุ่นหลักๆดังนี้
- Audi Q7 E-tron

- BMW I3, I8

- BYD E6

- FOMM One
- HYUNDAI Ioniq , Kona
 

- KIA Soul

- MG ZS EV

- MITSUBISHI i-MiEV

- Tesla Model 3 , S, X , ...

ข้อดี

  1. ระบบไม่ซับซ้อน มีแค่ไฟฟ้าอย่างเดียว
  2. ประหยัดค่าเซอร์วิส ไม่ต้องเช็คระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเหมือนรถมีเครื่องยนต์
  3. ประหยัดค่าอะไหล่ เพราะจำนวนชิ้นส่วนต่อคันน้อยลงไปมาก แค่ตัดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ก็หายไปเป็นพันๆชิ้นส่วน
  4. ค่าการใช้งานต่อกิโลเมตรไม่ถึง 1 บาท จากอัตราค่าไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน (ข้อมูลละเอียดสามารถหาได้ตามเว็ปทั่วไป)
  5. มลพิษจากการเดินทางต่ำ หรือเป็น 0
ข้อเสีย

  1. เดินทางไกลมากๆไม่สะดวก ต้องเสียเวลาในการชาร์จไฟ ต่อครั้งเป็นเวลานาน ทำให้ไม่สะดวก
  2. ค่าอะไหล่แบตเตอร์รี่มีราคาแพง แต่ในอนาคตน่าจะถูกลง
  3. ราคาต้นทุนรวมของรถหนึ่งคัน ยังสูงกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปปกติ
  4. ถ้าไม่มีไฟฟ้า ก็ไม่สามารถใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนได้ ทำให้มีทางเลือกน้อย
  5. มีมลพิษจากกระวนการผลิตแบตเตอร์รี่ 
ส่วนรถอีกแบบที่หลายๆ ค่ายพยายามผลักดัน เนื่องจากได้ส่วนลดทางภาษีสำหรับชิ้นส่วนที่นำเข้านี้ก็คือ รถไฮบริด
  • รถไฮบริด
รถที่มีขายในไทย หรือวิ่งอยู่ในปัจจุบัน มีรุ่นหลักๆดังนี้
- BMW ตระกูล e  330e, 530e, 740e และตระกูล Active Hybrid ต่างๆ เป็นต้น
- Mercedes Benz ตระกูล e C350e, C300e, E350e เป็นต้น
- Porsche ตระกูล e-Hybrid
- Volvl ตระกูล T8  S90, XC60, XC90

ข้อดี


  1. เดินทางได้ไกล เพราะเครื่องยนต์สามารถปั่นไฟชาร์จแบตได้เอง ระหว่าการขับขี่
  2. ถ้าไม่สะดวกชาร์จไฟ ก็สามาถใช้น้ำมันอย่าเดียวได้
  3. ราคาไม่แพงมาก เพราะรัฐบาลสนับสนุนสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับชิ้นส่วนไฮบริดที่นำเข้าจากต่าประเทศ
ข้อเสีย
  1. ระบบซับซ้อนมีทั้งเครื่องยนต์ มอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ ทำให้มีโอกาสเสียมากกว่ารถปกติ และรถไฟฟ้า
  2. ค่าอะไหล่มีราคาแพงและหลายชิ้นส่วนทั้ง แบตเตอร์รี่ อินเวอร์เตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ทำให้ต้องดูแลรักษาวุ่นวายและเสียค่าดูแลรักษาแพงกว่ารถยนต์สันดาปปกติ หรือ รถไฟฟ้าเพียว
เป็นต้น

           ที่นี้ตัวแปรหรือความยากลำบากในการใช้รถไฟฟ้าเป็นรถใช้งานประจำวัน 1 คัน
  1. ราคารถที่ยังแพงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Fomm ที่ถูกที่สุดก็ราคาครึ่งล้าน และก็มีปัจจัยเรื่องการเดินทางไกล ความปลอดภัยเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นรถไฟฟ้าที่ราคาถูกที่สุดและโครงสร้างตัวถังเหมือนรถปกติ ณ ตอนนี้ คือ MG ZS EV ที่ต้องเสียเงินซื้อถึง 1.19 ล้านบาท
  2. ต้องมีจุดชาร์จประจำวันเวลากลางคืน ก็คือมีบ้าน พร้อมจุดจอดรถที่สามารถชาร์จได้ 
  3. การชาร์ด้วยสายชาร์จธรรมดาที่ติดมากับรถโดยการเสียบกับปลั๊กไฟธรรมดานั้น ใช้เวลาในการชาร์จนานเกินหรือเกิน 12 ชั่วโมงกว่าแบตเตอร์รี่จะเต็ม ทำให้ไม่สะดวกในการชาร์จในเวลากลางคืนเฉพาะเวลานอนแค่ 6-8 ชั่วโมง นอกจากบางที่ทำงานมีสถานีชาร์จได้ตอนกลางวัน
  4. ส่วนการชาร์จแบบ Wall Charge ปกติจะต้องติดตั้งกับบ้านที่มีไฟขนาด 30A ขึ้นไป ซึ่งบ้านปกติจะเป็นแค่ 15 A ต้องเดือดร้อนไปแจ้งขอเพิ่มขนาดไฟฟ้าที่การไฟฟ้า และอาจจะต้องมีการเดินสายไฟในบ้านใหม่เพื่อติดตั้งเครื่อง Wall Charge ซึ่งโดยปกติต้องมีค่าใช้จ่ายเครื่องชาร์จและการติดตั้งระดับเกิน 4-5 หมื่นขึ้นไป เสียเงินเริ่มแรกแล้ว 5 หมื่น
  5. การชาร์จระหว่างทางตามจุดต่างๆ เช่นในห้าง หรือ ตามสถานีน้ำมัน ณ ปัจจุบันก็มีแล้วเกิน 1,000 จุด แต่การชาร์จแบบ Quick Charge ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อจะชาร์จให้ได้ 80 %
  6. การดูแลรักษาเช็คตามระยะแทบไม่จำเป็น การเข้าไปเพื่อแค่ตรวจเช็ตระบบไฟ เปลี่ยนกรองแอร์ ใบปัดน้ำฝน และระบบอื่นๆ ที่ไม่เกียวกับเครื่องยนต์ ก็ประหยัดค่าน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง และอื่นๆ ไปได้ครั้งละเกิน 1,000 บาทขึ้นไป
เพื่อให้เราเข้าใจง่ายมากขึ้น เรามาดูคลิปอธิบายเกี่ยวกับรถไฟฟ้ของ Tesla ที่จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น และจะเห็นว่าชิ้นส่วนในรถคันนึงมีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์ปกติที่เราเคยใช้มา
            จากคลิปด้านบนเราจะเห็นได้ว่า ชิ้นส่วนของรถไฟฟ้าน้อยกว่าชิ้นส่วนของรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดิมเยอะมาก อย่างแรกเลยตัดชิ้นส่วนที่ซักซ้อนภายในเครื่องยนต์ไปได้เลย ทำให้ค่าดูแลรักษาหรือเซอร์วิสแต่ละระยะแทบไม่มี ไม่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ต้องเปลี่ยนกรองอากาศ ไม่ต้องเปลี่ยนหัวเทียน เป็นต้น คุณผู้อ่านเริ่มเห็นภาพ และความน่าใช้ของรถไฟฟ้าแล้วใช้ไหมครับ แต่ยังก่อน อย่าลืมต้นทุนแสนแพงของรถไฟฟ้าอย่างแบตเตอร์รี่ไปนะครับ เมื่อใช้ไปสักพักแบตเตอร์รี่ก็จะเสื่อม ชาร์จได้น้อย ระยะทางที่ขับได้ลดลง ให้นึกภาพเหมือนโทรศัพท์มือถือของเรา ที่ตอนใหม่ๆ ชาร์จเต็มใช้งานได้ 2 วัน แต่พอเก่าหน่อยสีก 2-3 ปี ชาร์จเต็มอาจจะใช้งานได้แค่ 1 วัน ซึ่งแบตเตอร์รี่ของรถไฟฟ้าก็จะเป็นคล้ายๆแบบนั้น
การเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ด้วยรถไฟฟ้า เป็นได้ไหม? เรามาลองคำนวณดูกัน
               ส่วนนี้แอดมินจะเขียนเพิ่มเติมภายหลังนะครับ

สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น