ก่อนหน้านี้รถ EV หรือ รถที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเราคนไทย เนื่องจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าเป็นเรื่องของ ราคารถ สถานีชาร์จ รวมถึงการใช้งานได้จริงเวลาเดินทางไกล แต่จากล่าสุดที่มีค่ายรถแบรนด์อังกฤษ สัญชาติจีนอย่าง MG ZS EV ที่เปิดราคามาเร้าใจด้วยราคา 1.19 ล้าน สำหรับรถ Crossover ซึ่งก็ได้ทำให้ความฝันของคนไทย ที่จะมีรถไฟฟ้าใช้ เป็นจริงได้มากขึ้น จากการวิเคราะห์ของแอดมินถึงสาเหตุที่รถ MG ZS EV ทำไมถึงสามารถทำราคาได้เร้าใจแบบนี้ ประกอบด้วยหลายส่วน แต่หลักๆเลย คือ ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า CBU จากจีนในอัตราภาษี 0 % ซึ่งแตกต่างจาก Nissan Leaf ที่ทำเข้าจากญี่ปุ่นที่เสียภาษีที่อัตรา 20% จึงสามารถกดราคาได้ต่ำกว่า และอีก 1 ปัจจัยก็คือ MG ZS EV เป็นการแปลงจากรถเครื่องยนต์สันดาปปัจจุบันที่ขายอยู่แล้ว แต่เอาเครื่องยนต์ออกแล้วใส่มอเตอร์และแบตเตอร์รี่ลงไปแทน ทำให้ประหยัดงบลงทุนสำหรับ R&D ไปได้เยอะมากๆ ต่างจาก Nissan Leaf ที่เป็นรถไฟฟ้าแต่กำเนิด
จากรถที่มีขายในปัจจุบัน มีทั้งรถไฟฟ้าเพียว หรือ ใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวและไร้เครื่องยนต์ กับรถไฟฟ้าแบบไฮบริดซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้า ซึ่งรถแต่ละรุ่น มีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้
- รถไฟฟ้า
รถที่มีขายในไทย หรือวิ่งอยู่ในปัจจุบัน มีรุ่นหลักๆดังนี้
- Audi Q7 E-tron
- BMW I3, I8
- BYD E6
- FOMM One
- HYUNDAI Ioniq , Kona
- KIA Soul
- MG ZS EV
- MITSUBISHI i-MiEV
- Tesla Model 3 , S, X , ...
ข้อดี
- ระบบไม่ซับซ้อน มีแค่ไฟฟ้าอย่างเดียว
- ประหยัดค่าเซอร์วิส ไม่ต้องเช็คระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเหมือนรถมีเครื่องยนต์
- ประหยัดค่าอะไหล่ เพราะจำนวนชิ้นส่วนต่อคันน้อยลงไปมาก แค่ตัดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ก็หายไปเป็นพันๆชิ้นส่วน
- ค่าการใช้งานต่อกิโลเมตรไม่ถึง 1 บาท จากอัตราค่าไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน (ข้อมูลละเอียดสามารถหาได้ตามเว็ปทั่วไป)
- มลพิษจากการเดินทางต่ำ หรือเป็น 0
- เดินทางไกลมากๆไม่สะดวก ต้องเสียเวลาในการชาร์จไฟ ต่อครั้งเป็นเวลานาน ทำให้ไม่สะดวก
- ค่าอะไหล่แบตเตอร์รี่มีราคาแพง แต่ในอนาคตน่าจะถูกลง
- ราคาต้นทุนรวมของรถหนึ่งคัน ยังสูงกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปปกติ
- ถ้าไม่มีไฟฟ้า ก็ไม่สามารถใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนได้ ทำให้มีทางเลือกน้อย
- มีมลพิษจากกระวนการผลิตแบตเตอร์รี่
ส่วนรถอีกแบบที่หลายๆ ค่ายพยายามผลักดัน เนื่องจากได้ส่วนลดทางภาษีสำหรับชิ้นส่วนที่นำเข้านี้ก็คือ รถไฮบริด
- รถไฮบริด
- BMW ตระกูล e 330e, 530e, 740e และตระกูล Active Hybrid ต่างๆ เป็นต้น
- Mercedes Benz ตระกูล e C350e, C300e, E350e เป็นต้น
- Porsche ตระกูล e-Hybrid
- Volvl ตระกูล T8 S90, XC60, XC90
ข้อดี
ที่นี้ตัวแปรหรือความยากลำบากในการใช้รถไฟฟ้าเป็นรถใช้งานประจำวัน 1 คัน
ข้อดี
- เดินทางได้ไกล เพราะเครื่องยนต์สามารถปั่นไฟชาร์จแบตได้เอง ระหว่าการขับขี่
- ถ้าไม่สะดวกชาร์จไฟ ก็สามาถใช้น้ำมันอย่าเดียวได้
- ราคาไม่แพงมาก เพราะรัฐบาลสนับสนุนสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับชิ้นส่วนไฮบริดที่นำเข้าจากต่าประเทศ
- ระบบซับซ้อนมีทั้งเครื่องยนต์ มอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ ทำให้มีโอกาสเสียมากกว่ารถปกติ และรถไฟฟ้า
- ค่าอะไหล่มีราคาแพงและหลายชิ้นส่วนทั้ง แบตเตอร์รี่ อินเวอร์เตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ทำให้ต้องดูแลรักษาวุ่นวายและเสียค่าดูแลรักษาแพงกว่ารถยนต์สันดาปปกติ หรือ รถไฟฟ้าเพียว
ที่นี้ตัวแปรหรือความยากลำบากในการใช้รถไฟฟ้าเป็นรถใช้งานประจำวัน 1 คัน
- ราคารถที่ยังแพงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Fomm ที่ถูกที่สุดก็ราคาครึ่งล้าน และก็มีปัจจัยเรื่องการเดินทางไกล ความปลอดภัยเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นรถไฟฟ้าที่ราคาถูกที่สุดและโครงสร้างตัวถังเหมือนรถปกติ ณ ตอนนี้ คือ MG ZS EV ที่ต้องเสียเงินซื้อถึง 1.19 ล้านบาท
- ต้องมีจุดชาร์จประจำวันเวลากลางคืน ก็คือมีบ้าน พร้อมจุดจอดรถที่สามารถชาร์จได้
- การชาร์ด้วยสายชาร์จธรรมดาที่ติดมากับรถโดยการเสียบกับปลั๊กไฟธรรมดานั้น ใช้เวลาในการชาร์จนานเกินหรือเกิน 12 ชั่วโมงกว่าแบตเตอร์รี่จะเต็ม ทำให้ไม่สะดวกในการชาร์จในเวลากลางคืนเฉพาะเวลานอนแค่ 6-8 ชั่วโมง นอกจากบางที่ทำงานมีสถานีชาร์จได้ตอนกลางวัน
- ส่วนการชาร์จแบบ Wall Charge ปกติจะต้องติดตั้งกับบ้านที่มีไฟขนาด 30A ขึ้นไป ซึ่งบ้านปกติจะเป็นแค่ 15 A ต้องเดือดร้อนไปแจ้งขอเพิ่มขนาดไฟฟ้าที่การไฟฟ้า และอาจจะต้องมีการเดินสายไฟในบ้านใหม่เพื่อติดตั้งเครื่อง Wall Charge ซึ่งโดยปกติต้องมีค่าใช้จ่ายเครื่องชาร์จและการติดตั้งระดับเกิน 4-5 หมื่นขึ้นไป เสียเงินเริ่มแรกแล้ว 5 หมื่น
- การชาร์จระหว่างทางตามจุดต่างๆ เช่นในห้าง หรือ ตามสถานีน้ำมัน ณ ปัจจุบันก็มีแล้วเกิน 1,000 จุด แต่การชาร์จแบบ Quick Charge ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อจะชาร์จให้ได้ 80 %
- การดูแลรักษาเช็คตามระยะแทบไม่จำเป็น การเข้าไปเพื่อแค่ตรวจเช็ตระบบไฟ เปลี่ยนกรองแอร์ ใบปัดน้ำฝน และระบบอื่นๆ ที่ไม่เกียวกับเครื่องยนต์ ก็ประหยัดค่าน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่อง และอื่นๆ ไปได้ครั้งละเกิน 1,000 บาทขึ้นไป
จากคลิปด้านบนเราจะเห็นได้ว่า ชิ้นส่วนของรถไฟฟ้าน้อยกว่าชิ้นส่วนของรถที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดิมเยอะมาก อย่างแรกเลยตัดชิ้นส่วนที่ซักซ้อนภายในเครื่องยนต์ไปได้เลย ทำให้ค่าดูแลรักษาหรือเซอร์วิสแต่ละระยะแทบไม่มี ไม่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่ต้องเปลี่ยนกรองอากาศ ไม่ต้องเปลี่ยนหัวเทียน เป็นต้น คุณผู้อ่านเริ่มเห็นภาพ และความน่าใช้ของรถไฟฟ้าแล้วใช้ไหมครับ แต่ยังก่อน อย่าลืมต้นทุนแสนแพงของรถไฟฟ้าอย่างแบตเตอร์รี่ไปนะครับ เมื่อใช้ไปสักพักแบตเตอร์รี่ก็จะเสื่อม ชาร์จได้น้อย ระยะทางที่ขับได้ลดลง ให้นึกภาพเหมือนโทรศัพท์มือถือของเรา ที่ตอนใหม่ๆ ชาร์จเต็มใช้งานได้ 2 วัน แต่พอเก่าหน่อยสีก 2-3 ปี ชาร์จเต็มอาจจะใช้งานได้แค่ 1 วัน ซึ่งแบตเตอร์รี่ของรถไฟฟ้าก็จะเป็นคล้ายๆแบบนั้น
ส่วนนี้แอดมินจะเขียนเพิ่มเติมภายหลังนะครับ
สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ส่วนนี้แอดมินจะเขียนเพิ่มเติมภายหลังนะครับ
สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ














ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น