จากปี 2561 ที่ผ่านมา ประเทศไทย มีฝนตกชุกกว่าทุกปี และสิ่งที่ตามมาคือน้ำท่วมในเมืองกรุงเทพ ขับรถไปทำงานหรือกลับบ้านไม่ได้หรือไม่สะดวก จะลุยไปก็ขับแบบลุ้นๆใจตุ๊มๆต่อมๆ กลัวจะไปดับกลางทาง ได้งานเข้าซ่อมหลายบาทแน่ๆ นั้นคือสิ่งที่แอดมินประสบและคุณผู้อ่านหลายๆท่านคง ต้องเจอเหมือนแอดมินแน่ๆ เพราะรถที่ใช้อยู่เป็นรถเก๋ง ใช่ไหมครับ ดังนั้นแอดมินก็พยายามหาทางออก จะให้ไปสมัครเป็นผู้ว่าเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมกทม. ก็คงไม่ดีนัก 555 ก็เลยต้องหาทางแก้ที่ตัวเอง นั้นก็คือการมองหารถใหม่ ที่สามารถลุยน้ำได้
แรกเริ่มนั้น มีรถที่เข้าข่ายที่แอดมินสนใจก็คือ Civic RS, Civic HB, Honda HRV, Toyota CHR, Subaru XV, Subaru Forester, Mazda CX5, Mitsubishi Pajero, Nissan Terra, Ford Everest
ดังนั้นโจทย์ของรถคันใหม่ที่แอดมินพิจารณาจึงมีดังนี้
1) ลุยน้ำท่วมได้ระดับความสูงประมาณ 20 cm. ขึ้นไป ทำไมต้อง 20 cm. เพราะระดับน้ำท่วมที่รถทั่วไปผ่านได้สบายคือไม่เกิน 15 cm. พอใกล้ๆ 20 cm.เริ่มได้ยินเสียงน้ำกระทบใต้ท้องรถ ดังนั้นเอาแบบลุยน้ำได้สูงกว่า 20 cm.แบบได้สบายๆไม่ต้องลุ้นน่าจะเหมาะที่สุด
- จากโจทย์ข้อนี้รถที่เข้าข่ายคือ รถเก่ง HB (Hatchback) บางรุ่น, Crossover, SUV, PPV
2.) ขนาดไม่ใหญ่หรือกว้างเกินไป โจทย์นี้เอาขนาดตั้งแต่ B-C Segment พอไม่ให้ใหญ่ขนาด D-segment เพราะขับในซอยแคบๆลำบาก
- จากโจทย์ข้อนี้รถที่ถูกตัดไปก่อนเลย คือ ปิคอัพ และ PPV เหลือแต่ รถเก่ง HB บางรุ่น ,Crossover, SUV
3.) มีพื้นที่ขนของด้านท้ายที่ใหญ่และขนของสูงๆ ได้ จากที่รถคันก่อนหน้านี้แอดมินเคยใช้ Toyota Wish มาก่อน เคยขนของย้ายบ้านมาแล้ว ก็เลยติดใจ แต่ไม่อยากได้ MPV เพราะดูเป็นพ่อบ้านไปหน่อย แต่ติดใจที่ความเอนกประสงค์ และต้องการรถเอนกประสงค์สักคันเพราะมีรถยุโรปคันเล็กอีกคันอยู่แล้ว
- จากโจทย์ข้อนี้รถที่ถูกตัดไปก่อนเลย คือ รถเก่ง เหลือแต่ รถ HB บางรุ่น, Crossover, SUV
3.) ขอเป็นรถญีปุ่นเท่านั้น เพราะรถคันนี้จะเป็นรถคันหลักที่ใช้งานเยอะ จึงต้องการรถที่ดูแลง่าย ไม่จุกจิก ขับแล้วสบายใจ เชื่อใจได้
เมื่อพิจารณาจากโจทย์ทั้ง 3 โจทย์ ก็จะเหลือรถที่ผ่านดังนี้ Honda HRV, Toyota CHR, Subaru XV, Subaru Forester, Mazda CX5 ถ้าพิจาณาดีๆ ก็จะเหลือแค่ รถ Crossover และ SUV เพียงเท่านั้น
เมื่อได้รถที่เข้าข่ายที่สนใจ ก็ถึงเวลามาทดสอบรถแต่ละคันกัน และมีโอกาสอันดีที่แอดมินจะได้ทดสอบรถ Subaru XV ที่อยู่ในตัวเลือก จะช้าอยู่ใย เรามาลองกัน
รถที่แอดมินมาทดลองขับวันนี้เป็นรถ Subaru XV น้องเล็กสุดของค่ายที่ได้ทำการเปิดตัว Full Model change กันไปตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเป็นรถที่มีการปรับปรุงและพัฒนาให้ดีกว่าตัวเดิมที่ดีอยู่แล้ว ในหลายๆส่วน โดยรุ่นที่วางขายอยู่ในไทยตอนนี้ มีด้วยกัน 2 เกรด
1) 2.0i ราคาขายสุทธิ 1,234,221 บาท
2) 2.0i-P ราคาขายสุทธิ 1,279,221 บาท
คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมราคาถึงมีตัวเลขทุกหลัก ทำไมไม่เป็นตัวเลขถ้วนๆ ตัวเลขหลายหลักนั้นก็เนื่องมาจากภาษีที่คำนวณได้ เพราะรถคันนี้เป็นรถนำเข้าจากโรงงานที่ประเทศมาเลเซีย
หัวข้อทั้งหมดในรีวิวจะมีดังนี้
เนื้อหารายละเอียดด้านล่างอาจมีละเอียดมากนะครับ ดังนั้นผมได้แยกเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้
เนื้อหาที่น่าสนใจพิเศษ: สีส้ม
เนื้อหาสรุป : สีฟ้า
ภายนอก
เมื่อมองจากสายตาของคนที่ไม่ได้สนใจรถหรือไม่ได้ชอบรถ อาจมองว่า New Subaru XV เป็นแค่การ Minor changed เท่านั้น หรืออาจแยกความแตกต่างระหว่างตัวเก่ากับตัวใหม่ไม่ออก แต่ถ้าคนที่ชอบรถอยู่แล้ว หรือมองไปในรายละเอียดจะทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกือบทั้งคัน แค่หน้าตาหลักจะยังคล้ายเดิม อาจเพราะว่า Subaru XV รุ่นเดิมนั้นเป็นรถที่ดูดีอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีข้อตำหนิในด้านของรูปลักษณ์ ดังนั้นเราจะเปลี่ยนรูปหลักทำไม? สู้เราเอาเวลาการวิจัยไปพัฒนาเรื่องอื่นดีกว่า ส่วนรูปลักษณ์แค่ปรับปรุงรายละเอียดให้ทันสมัยตามยุคก็พอ ดังนั้นหน้าตาก็ออกมาเป็นแบบนี้
สีภายนอกที่ขายนั้นมีด้วยกัน 9 สี และสีที่เด่นที่สุด ก็คือสี Sunshine Orange ก็คือสีคันที่แอดมินได้มาทดสอบนั้นเอง (คันจริง สีแจ๋มมากๆ) รถคันนี้่เป็นเกรด 2.0i-P ซึ่งเป็นตัวท๊อปนะครับ
ด้านหน้าออกแบบไฟหน้าและกระจังที่เน้นเหลี่ยมคมสัน มีสเต็ป เพื่อให้ดูทันสมัย ดูดุ มีเสน่ห์มากขึ้น
ความกว้างตัวรถ 1,800 มม.
ความสูง 1,615 มม.
ระยะฐานล้อ 2,665 มม.
ระยะห่างระหว่างล้อหน้า 1,550 มม.
ระยะห่างระหว่างล้อหลัง 1,555 มม.
น้ำหนักรถเปล่า 1,439 กก.
ด้านข้างยังอิงกับทรงท้ายลาดเอียง มีกระจกข้างบานที่สามบานเล็ก เพื่อให้เป็นรถที่ทะมัดทะแมงไม่ดูใหญ่เกินไป
ด้านท้าย เพิ่มไฟท้ายอีก 1 ชุดในส่วนของฝากระโปรงท้าย เพื่อให้ด้านท้ายรถ ดูกว้างขึ้นกว่าตัวเก่า
มาดูกันที่รายละเอียดแต่ละส่วนของภายนอกกันครับ
กระจังหน้าเน้นสีดำเป็นหลัก ประกอบด้วยพลาสติคฉีดสีดำในส่วนของโครงสร้าง และคาดกลางด้วยงานพ่นสีดำเงาไฮกรอสหรือ Piano black และทำการขลิบแถบคาดด้วยโครเมียม เพื่อเพิ่มความหรูหราแบบดูดี ไม่ลิเกเกินไป และลดความดุของกระจังสีดำลงนิดนึง ซึ่งเป็นการออกแบบที่ดูดีและมีสไตล์ ไม่ดำเกินไป และไม่หรูเวอร์ด้วยสีเงินเกินไป
ไฟหน้าออกแบบได้เหลียมมีขยักเพื่อให้ดูมีอะไร ไม่ทื่อจนเกินไป ไฟหน้าของเกรด i-P เป็นไฟหน้าแบบ Projector LED ที่ปรับระดับอัตโนมัติ (ไม่สามารถปรับเองได้ ระบบจะปรับจากองศาการท้ายโด่งหรือหน้าเชิดเวลานั่งหลายคนหรือบรรทุกนหนัก) มาพร้อมไฟ DRL (Daytime running light) ที่ออกแบบเป็นทรงตัวเจ ล้อมรอบไฟ Projector และทำการขลิบด้วยโครเมียม การออกแบบด้วยพื้นสีดำและขลิบด้วยโครเมียมบางสวย เป็นงานออกแบบสไตล์เดียวกับกระจังหน้า
ในรุ่น i-P จะมาพร้อมระบบฉีดล้างไฟหน้า ตรงส่วนฝาปิดนูนใต้ไฟหน้าทั้งซ้ายและขวา
ไฟตัวหมอกหน้าเป็นแบบ reflector หลอดแบบธรรมดา
กระจกมองข้างมาพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED
เวลาเปิดไฟเลี้ยว คนขับจะเห็นแสงสีส้มกระพริบที่บริเวณติ่งของไฟเลี้ยวที่ทำแทรกผ่านกรอบของกระจกมองข้าง
มือจับเปิดประตู ทำสีเป็นสีเงินกึ่งเงา ไม่ใช้สีตามตัวถังหรือโครเมียม ซึ่งจุดนี้ แอดมิน และคนรอบข้างหลายคนชอบ โดยเฉพาะผู้หญิงบอกว่าดูดีกว่าแบบโครเมียมเยอะเลย
จุดนี้เป็นจุดที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องของการใช้งาน และต้นทุน ดังนี้
- สีเงินกึ่งเงา จะมองเห็นรอยถลอกหรือรอยขีดข่วนได้ยากกว่าแบบโครเมียม ทำให้ดูดีได้นานหลายปีกว่าแบบโครเมียม
- ต้นทุนทำสีเงินกึ่งเงา ถูกกว่าทำชิ้นงานโครเมียมหลายบาท
- สามารถทำใส่เป็นสีเงินกึ่งเงาแบบเดียว สำหรับทุกสีภายนอกของรถ ทำให้งานต่อการผลิต ต้นทุนสี ต้นทุนการทดสอบเทียบสี รวมทั้งสต็อกของชิ้่นส่วนด้วย
ดังนั้นคนออกแบบ หรือ เลือกสีให้เป็นแบบนี้ เป็นคนที่เก่งมาก ในมุมมองของแอดมินที่เคยทำงานเกี่ยวกับต้นทุนรถยนต์มาสิบกว่าปี
ราวแรคหลังคาติดตั้งให้มาในทุกเกรด พร้อมทำสีเงินกึ่งเงาเหมือนมือจับประตู ซึ่งสวยงามและดูดีมาก
เสาอากาศหลังทรงครีบฉลามตามสมัยนิยม ที่ทำสีแบบดำเงา
ปีกหลัง ขนาดกำลังดีสวยงามทำสีดำเงา พร้อมกรอบครอบกระจกท้ายด้านข้างสีดำ
ไฟเบรคดวงที่สาม ติดตั้งตรงกลางของปีหลัง แบบ LED 6 ดวง
ในส่วนของไฟท้ายนั้นไม่มีไฟทับทิมสำหรับสะท้อนแสงเวลาจอดข้างทางอยู่ด้วย จึงทำให้ต้องติดไฟทับทิมแยกที่ด้านล่างของกันชน และมาพร้อมไฟตัดหมอกที่ด้านขวาข้างเดียว ตามด้านของคนขับรถ
กันชนท้ายมาพร้อมเซ็นเซอร์ถอดหลัง 2 จุดสีเดียวกับตัวถัง
ใต้แถบท้ายรถเหนือกรอบป้ายทะเบียน ติดกล้องมองหลังมาเรียบร้อย
กรอบของซุ้มล้อทั้งสี่ และชายล่างรอบคัน เป็นพลาสติคสีดำด้าน กัดลาย ให้เหมาะกับรถ SUV เพื่อลดรอยขีดข่วน เวลาขับในเส้นทางออฟโรด
ล้อแม็กซ์เป็นขนาด 17 นิ้ว พ่นสีดำแล้วกิ่งปิดเงาเนืื้ออลูมิเนียมแล้วพ่นเคลือบด้วยสีใสอีก 1 ชั้น ซึ่งมีต้นทุนกว่าล้อที่พ่นสีเทา หรือ สีดำอย่างเดียว ออกแบบได้สวยงาม แข็งแรง และที่สำคัญล้างง่ายด้วยครับ
ยางทั้งสี่เส้นยี่ห้อ Continental Conti Max Contact MC5 ผลิตที่มาเลเซีย ขนาด 225/60R17 ทั้งสี่ล้อ
ถือเป็นยางที่เงียบใช้ได้ เกาะดี แก้มยางนิ่มกว่าตัวเก่า นิดนึง เพราะขนาดยางสูงกว่าตัวเดิมที่เป็นซีรีย์ 55
แผ่นปิดซุ้มล้อหน้า เป็นแบบพลาสติคธรรมดา
แต่แผ่นปิดซุ้มล้อหลังเป็นแบบผิวกำมะหยี่ สำหรับลดเสียงดังจากซุ้มล้อ ที่จะส่งเสียงเข้าห้องโดยสารบริเวณเบาะแถว 2 และท้ายรถ
-ภายนอกยามค่ำคืน
เปิดเฉพาะไฟหรี่ด้านหน้า
เปิดไฟหน้า Projector LED
เวลาเปิดไฟหรี่ และไฟตัดหมอกหน้า
มาดูกันชัดๆ กับ DRL ทรงเจ สวยงามใช้ได้ แสงส่องเต็มเท่ากันทั้งเส้่น เพราะมี LED หลายดวง
เาลาเปิดไฟหน้า ไฟ DRL จะหนี่แสงลง
ไฟท้ายแบบ LED ติดเฉพาะชุดที่อยู่กับแก้มตัวถัง ชุดด้านในฝากระโปรงไม่ติด
ไฟท้ายพร้อมเหยียบเบรค เป็น LED อีกชุดแยกจากไฟท้าย เพื่อความปลอดภัย ให้เห็นแตกต่างกันชัดเจน เพิ่มจากไฟเบรคดวงที่ 3 บนปีกหลัง
เวลาเปิดไฟตัดหมอกหลังจะติดแค่ด้านขวาด้านเดียว
ภายใน
ก่อนเข้าสู่ภายในเรามาดูที่กุญแจรถกันก่อน


กุญแจเป็นแบบใหม่ที่ใช้กับรถ Subaru รุ่นใหม่ กดปลดล็อคที่ปุ่มโลโก้สีฟ้า กดล็๋อคที่ปุ่มบน กดเปิดฝาท้ายที่ปุ่มล่าง
หรือจะพกกุญแจไว้ในกระเป๋าแล้วไปยืนใกล้ประตู ทำการล้วงมือเข้าไปในช่องมือจับเพื่อปลดล็อค และเวลาลงปิดประตูรถ แล้วกดแถบขีด 2 ขีดที่มือจับเพื่อล็อตรถ
(แต่แอดมินเจอปัญหานิดหน่อยเวลาล้างรถ แล้วตัวไปโดนมือจับเวลาเช็ดหลังคา รถจะร้องเตือนหลายรอบ)
มาดูกันในส่วนของภายในห้องโดยสารกันครับ
-เบาะหน้า
ห้องโดยสารจะเป็นโทนสีดำและขลิบส้มสำหรับรุ่น 2.0i-P ดังนั้นจึงดูเหมาะสมและเข้ากันดีกับสีภายนอกแบบคันนี้เป็นอย่างดี ตัวเบาะทรงกึ่งสปอร์ต ดูได้จากมีปีกเบาะทั้งส่วนด้านข้างของส่วนลำตัว และส่วนรองนั่ง ตรงกลางเป็นผ้าลายสีดำเจาะรูภายในสีขาวเพื่อระบายอากาศและเหงื่อเมื่อนั่งนานๆ ส่วนข้างๆเป็นผ้าสีดำ ส่วนปีกเบาะและปีกรองนั่งจะหุ้มด้วยหนังพร้อมเดินตะเข็บด้ายสีส้ม ฟิลลิ่งการนั่งถือว่านั่งสบายเต็มตัวทั้งหลังและส่วนรองนั่ง สำหรับแอดมินสูง 170 ซม. เบาะรองนั่งยาวดีมาก ยาวมาจนถึงข้อพับที่หัวเข่าเลย ผิดวิสัยเบาะรถญีปุ่นที่ปกติเบาะรองนั่งสั่น นั่งนานๆแล้วเมื่อย ใครหารถที่เบาะรองนั่งยาว มาคันนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ส่วนผนักพิงหลังก็มีขนาดใหญ่ และเป็นลักษณะราบตรงไม่ค่อยมีส่วนดันหลังตรงกลางสักเท่าไหร่ (จุดนี้แอดมินขับรถทางไกลนานๆ รู้สึกเมื่อยหลังนิดนนึง แต่กับผู้โดยสารด้านหน้าที่นั่งไปด้วยกลับนั่งสบายไม่ปวดหลังใดๆ ดังนั้นแอดมินสันนิฐานว่า อาจเพราะวันก่อนหน้านี้ แอดมินเข้าๆออกๆ ก้มๆเงยๆ เพื่อถ่ายรูปรถเยอะไปหน่อยก็ได้ก็เลยปวดหลัง ไม่น่าเกี่ยวกับเบาะรถ 555) ดังนั้น ถ้าเพิ่มชุดปรับดันหลังก็จะเป็นเบาะที่เพอร์เฟ็คมากๆ ด้วยความที่พนักผิงหลัง แต่ขนาดของเบาะก็ออกจะกว้างไปสำหรับตัวแอดมินที่ท้วมนิดๆ ทำให้เหลือที่ด้านข้างทั้งพนักพิงและเบาะรองนั่ง แต่กับคนอื่นๆอาจจะนั่งพอดีนะครับ แต่จุดนี้ไม่ถือเป็นปัญหาใดๆครับ ส่วนของพนังพิงหัวนั้นสามารถปรับก้มเงยได้ สามารถปรับให้เหมาะสมกับคนที่หัวทุยหรือหัวแบนสะดวกมากๆ จุดนี้ก็ขอชมเช่นกัน
เบาะฝั่งคนขับเป็นเบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางทุกเกรด (เลื่อนหน้า-หลัง, ขึ้น-ลง, เงย-ก้ม,ตั้ง-นอน)
จุดนี้ถือว่าใจป้ำมาก เพราะรถคู่แข่งอย่าง CHR, CX3 ยังเป็นเบาะปรับมืออยู่เลย
(HRV EL RS ปรับไฟฟ้า)
เบาะฝั่งคนนั่งหน้า เป็นแบบปรับมือ ได้ 4 ทิศทาง ปรับสูง-ต่ำ ไม่ได้ แต่ด้วยตำแหน่งเบาะไม่ต่ำมาก จึงไม่เป็นปัญหาในการนั่งเท่าไหร่
ด้านหลังเบาะหน้าฝั่งคนนั่ง มีกระเป๋าหลังสำหรับใส่เอกสารหรือหนังสือ
ที่ปีกเบาะด้านข้าง มีแท็ก SRS Airbag แสดงว่าเป็นถุงลมนิรภัยที่ตัวเบาะด้านข้าง ซึ่งมีให้ทุกเกรด ส่วนเบาะใครเบาะมากๆ หรือ ใครอยากหุ้มหนังใหม่ทั้งตัวก็ทำได้ยากนะครับ
-เบาะหลัง
เบาะหลังปรับเอนไม่ได้ แต่มุมเอนไม่ตั้งชันแต่อย่างใด เซ็ทมุมเอนมาได้กำลังดีทั้งนั้งและนอนเลยครับ พนักพิงพับได้แบบ 40:60 และมพนักพิงมีปีกเบาะด้านข้างรองรับรับนิดนน่อย ไม่แบนราบแบบรถบางรุ่น
ในรูปจะเห็นข้างๆหมอนเบาะตำแหน่งกลางมีก้านพลาสติคยื่นกลางออกมาคืออะไร มาดูเฉลยกันด้านล่างครับ
เบาะหลังตำแหน่งตรงกลางจะมีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดเหมือนเบาะต่ำแหน่งอื่นๆ โดยเบลล์จะต้องดึงจากห้องสัมภาระด้านหลังขวาตามรูปครับ โดยยากสายปลดออกจากขอเกี่ยวสีขาวที่ล็อคสายไว้
แล้วนำสายมาลอดรูตรงกลางของขาพลาสติคที่ยื่นมาจากหัวเบาะตำแหน่งกลาง
เมื่อคาดเข็มขัด ก็จะมีลักษณะแบบนี้ ความปลอดภัยเท่ากันทั้งคัน ไม่น้อยหน้าเบาะต่ำแหน่งอื่นๆ
แถมจุดสำหรับยึดเบาะเด็ก ISO-FIX มาให้ทั้ง 2 ต่ำแหน่งของเบาะหลัง โดยแหวกแถบผ้าที่เป็นรูปเบาะเด็กก็จะเจอขอเกี่ยวเบาะ
-แผงประตู
แผงประตูหน้า เป็นงานขึ้นรูป ดีไซด์สวยงาม สอดคล้องต่อเนื่องกับชุดคอนโซลหน้า มีวัสดุพื้นผิวประมาณ 6 แบบในบานเดียวรายละเอียดตามรูปด้านล่าง ตำแหน่งเท้าแขนกำลังดีเหมาะสม มีการบาลานซ์ที่ดีระหว่าที่เท้าแขนที่แผงประตูและที่ท้าวแขนคอนโซลกลาง ทำให้เวลานั่งขับทางไกล แขนซ้าย-ขวาเท่ากัน ไม่เอียงด้านใดด้านนึงแบบรถบางรุ่นส่วนของก้านเปิดประตูเป็นพลาสติคชุบโครเมียม ก้านเหมือนจะเล็กบอบบาง แต่ใช้งานจริงๆแข็งแรง ไม่หักง่าย กรอบมือเปิดประตูประดับด้วยฟิล์มลายคาร์บอนไฟเบอร์แบบเคลือบเงา แบบเดียวกับตบแต่งใน Subaru BRZ และ WRX STI ซึ่งดูดี ดูเนียนสวยงาม ดีกว่าแบบพลาสติคกัดลายคาร์บอนที่มันไม่ค่อยสวย พร้อมกับล้อมกรอบอีกชั้นด้วยกรอบโครเมียบกึ่งด้าน ที่แอดมินก็ชื่นชอบสีแบบนี้เหมือนกัน
ส่วนของแผงตรงกลางเป็นผ้าสีดำ บุนุ่ม ดูเนียนกับส่วนอื่นๆ ของแผงประตู แต่แอบสกปรกง่ายไปนิดนึง มักจะเบาะคราบฝุ่นหรือคราบแป้งสีขาวเห็นได้ชัดได้ง่าน เพราะเป็นสีดำ จุดนี้อาจปรับเป็นหุ้มหนัง หรือหุ้มผ้าสีดำทีเปรอะยากแทนจะดีมาก
ส่วนของที่เท้าแขน เป็นวัสุดหนัง บุนุ่มดี พร้อมเดินตะเข็บด้ายจริงสีส้ม และจะพบเจอได้ทั้ง 4 บาน จุดนี้ก็ดีมากเช่นกัน
แผงประตูจะมีที่ใส่ขวดน้ำ พร้อมของกระจุกกระจิกได้อีกเล็กน้อย
หรือจะใส่ขวดน้ำ 2 ขวดแบบในรูปก็ได้นะครับ ยังมีที่เหลือให้ใส่บัตรหรือของอีกนิดหน่อย
แผงประตูหลัง ก็ดีไซน์คล้ายกับแผงประตูหน้า ด้านบนบุวัสุดคล้ายหนังแบบกึ่งนุ่มเหมือนประตูหน้่าที่ท้าวแขนหุ้มหนังบุนุ่มแบบประตูหน้า จุดนี้ก็ขอชมที่แผงประตูหลังไม่เป็นพลาสติคทั้งบานเพื่อลดต้นทุนแบบน่าเกลียดของรถบางรุ่นในมุมมองของแอดมิน
ก้านเปิดประตูเป็นโครมเมียม กรอบตบแต่งด้วยพลาสติคกัดลายคาร์บอนที่เป็นโทนลายคาร์บอนเดียวกับด้านหน้า แต่ไม่กึ่งเงาก็แอบเสียดาย และแอบไม่เนียนเหมือนด้านหน้าสักเท่าไหร่ แต่แอดมินของแนะนำในรุ่น Minor change ให้เปลี่ยนกรอบเป็นสีเงินกึ่งด้านก็จะเพิ่มความหรูหราได้อีกเยอะเลยนะครับ
แผงประตูหลังก็ใส่ขวดน้ำได้ 2 ขวดแบบประตูหน้า
-พื้นที่ Headroom และ Legroom
สำหรับ Headroom ของรถคันนี้ไม่มีปัญหา มีพื้นที่อย่างเหลือเฝือทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง เนื่องจากการออกแบบหลังคาไม่ได้ลาดเอียงมากเท่ารถคู่แข่งที่หลังคาออกเตี้ย แอดมินจึงตัดส่วนนี้ออก แต่มาเน้นที่ Legroom แทนที่แอดมินบอกว่ากว้างขวางมาก
ที่ตำแหน่งผู้โดยสารเบาะหน้า แอดมินลองนั่งแบบสบายๆ ไม่ปรับเบาะไปด้านหน้าเกินไป มีพื้นที่ห่างจากแก๊ะเก็บของด้านหน้าเหลือเฟือตามรูป
(ปล. แอดมินสูง 170 ซม.)
เมื่อลองย้ายมานั่งที่เบาะหลัง โดยคงต่ำแหน่งเบาะหน้าไว้ ไม่ปรับใดๆทั้งสิ้่น ก็จะพบ Legroom ของเบาะหลังตามรูป มีพื้นที่เหลือจากเข่าจนถึงพนักพิงเบาะหน้าประมาณ 1 คืบ นั่งสบายๆ และจากรูปจะเห็นว่าเบาะรองนั่งนั้นยาวจนเกือบถึงข้อพับเลยทีเดียว
ดังนั้นในเรื่องความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร Subaru XV ผ่านครับ
-พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย
เมื่อไม่พับเบาะ Subaru XV จะมีพื้นที่ไม่กว้างใช้ได้ แต่ความสูงอาจจะเตี้ยไปนิด เพราะถาดรองค่ายข้างสูง แต่ก็สะดวกเวลายกกระเป๋าออกจากรุ่น เพราะระดับใกล้เคียงกรอบล่างของประตูฝาท้าย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญที่ค่ายรถพิจารณาในการออกแบบ เพราะถ้าลึกไป จะต้องใช้แรงเยอะในการยก และมีโอกาสปวดหลังได้นั้นเอง
การพับเบาะแถวหลัง ต้องเปิดประตูหลัง แล้วมองหาก้านยกที่ด้านข้างทั้งซ้ายขวาของเบาะหลัง
จากนั้นก็ยก้านนี้ขึ้น ก็จะสามารถผลักเบาะล้มไปด้านหน้าได้
เมื่อพับเบาะทั้งสองข้างเสร็จแล้ว ก็จะมีลักษณะแบบราบเสมอกันดีมากๆ ดังรูป
มุมมองด้านท้าย แผ่นรองท้ายรถจะเสมอกับแนวด้านหลังของเบาะแถวหลัง ก็เป็นอีกจุดที่ค่ายรถพิจารณาในการออกแบบ เพราะเวลาใส่ของขนาดใหญ่ก็จะสามารถดันของไปข้างหน้าจนสุดได้เลย ไม่ติดความต่างระดับของเบาะและถาดท้ายรถ ที่ต้องอ้อมไปยกซึ่งไม่สะดวกในการใช้งาน
เมื่อยกถาดท้ายรถแล้วพับครึ่ง ก็จะเจอกับยางอะไหล่และถามโพมสำหรับใส่ของจุกจิกและเครื่องมือ
เมื่อยกถาดขึ้นทั้งแผ่นจะมีลักษณะดังรูป มีช่องเล็ก ช่องน้อยสำหรับใส่ของได้นิดหน่อย
ยางอะไหล่ ที่ให้มาเป็นแบบยางหน้าแคบ ความกว้างพอๆกับ Eco car 185/65 R17 ขนาด 17 นิ้ว ซึ่งแตกต่างจากยางอะไหล่ล้อเหลืองแบบรถบางรุ่น เพราะยางอะไหล่ของ Subaru XV คือยางปกติ ที่ขับใช้งานได้เร็วปกติ ไม่จำกัดว่าต้องขับไม่เกิน 80 กม/ชม และมีขนาดถึง 17 นิ้วเท่าล้อติดรถปกติ ในกรณียางแตกที่ต่างจังหวัดช่วงกลางคืน ร้านยางปิด ก็สามารถขับทางไกลเกิน 100 กม. ได้สบายๆ แต่ก็ไม่ควรขับเร็วจนเกินไปนัก เพราะความกว้างของยางต่างกัน สมรรถรณะจะลดลงไปเยอะ และถ้ายางอะไหล่เป็นล้อขนาดเท่าล้อติดรถก็จะทำให้กินพื้นทีเกินไป ถาดท้ายรถก็จะสูงกว่านี้ ทำให้จุของได้น้อยและเวลาพับเบาะก็ไม่แบบรอบเสมอกัน ดังนั้นนี้ถือเป็นทางออกในการออกแบบที่เหมาะสมที่สุด เพราะแอดมินไม่ค่อยชอบการถอดยางอะไหล่ออก แล้วให้น้ำยาปะยางมาให้ (ซึ่งเป็นการแอบลดต้นทุนของ บ.รถยนต์) เวลายางแตกแบบฉีกขาดตรงแก้มยาง น้ำยาปะยางนั้นไม่สามารถปะได้ ก็เท่ากับขับรถไปไหนไม่ได้ ถ้าอยู่ต่างจังหวัดเปลี่ยวก็อันตรายมากๆ ดังนั้นถ้าซื้อรถให้ผู้หญิงขับ ควรมียางอะไหล่แบบนี้เหมาะสมที่สุด และอย่าลืมสอนวิธีเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วยนะครับ และที่สำคัญรถใครที่ไม่มียางอะไหล่ และใช้น้ำยาปะยางฉุกเฉินแทน แอดมินจะบอกว่าน้ำยามีหมดอายุนะครับ ไม่แน่ใจว่ามีอายุแค่ 2-3 ปีเนี่ยแหละครับ ไม่ใช้ถึงเวลายากแตกจะใช้ก็ใช้ไม่ได้ เพราะหมดอายุ แล้วยิ่งเวลาร้านยางจะปะยางก็ไม่ชอบล้างน้ำยาออกเพราะมันเลอะเทอะและล้างยางด้วยครับในส่วนของหลุมยางอะไหล่ เท่าที่แอดมินเจอ รถหลายๆรุ่นจะพ่นเฉพาะสีรองพื้นเพื่อลดต้นทุนเป็นหลัก แต่กับ XV นั้นทำการพ่นสีรถเต็มพื้นที่นะครับ จุดนี้แอดมินก็ขอชมครับ
ความจุในการขนของด้านท้ายรถ ก็เป็นอีกจุดที่แอดมินพิจารณาเพราะแอดมินจะหารถมาแทนรถเก๋ง และอีก 1 คันก็เป็นรถคันเล็กเน้นขับสนุกจึงใส่ของได้ไม่เยอะ ดังนั้นคันใหม่ต้องจุของได้เยอะ ซึ่ง Subaru XV จากสเปคจุได้ 1,240 ลิตร
แอดมินก็เลยหาข้อมูลและทำตารางเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นตัวเลขชัดเจน จากเว็บที่ข้อมูลดูน่าเชื่อถือได้เว็บนึง ก็ได้ข้อมูลมาตามรูป
จากข้อมูลในกลุ่มของ Crossover Honda HRV มีความจุเยอะที่สุดทั้งไม่พับเบาะและพับเบาะ รองลงมาคือ Subaru XV ในกรณีพับเบาะ ซึ่งถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าไม่พับเบาะกับมีพื้นที่ความจุน้อยที่สุด
แต่จากตัวเลขนั้นมองไม่เห็นภาพ ก็แม้ขนาดดูตัวรถจริงยังหลอกสายตามกันได้ ดังนั้นแอดมินก็ต้องทำการพิสูจน์ให้เห็นกับตากันไปเลย
แอดมินก็เลยนำกระเป๋าเดินทาง ทั้งหมด 5 ใบมาลองดูว่าจะขนได้ไหม จำลองการไปพักที่ต่างจังหวัดของผู้โดยสาร 5 คนดูนะครับ
โดยจะทดลองใส่โดยไม่พับเบาะนะครับ เพราะมีผู้โดยสาร 5 คนนั่งเต็มทุกเบาะนั่ง มาลุ้นกัน
การทดลองใส่ครั้งแรก แบบไม่คิดอะไร หยิบใบไหนได้ก็ใส่เข้าไป ก็จะจุได้หมดทั้ง 5 ใบดังรูป
ก็จะใช้เกือบเต็มพื้นที่ ใส่ของได้ด้านซ้ายของกระเป๋าผ้าใบสีฟ้าได้อีกเล็กน้อย และก็ใส่ได้ตรงช่องขวามือเหนือกระเป๋าสีขาว
ที่นี้แอดมินลองจัดใหม่อีกรอบแบบให้ใช้พื้นที่น้อยที่สุด ก็จะเหลือพื้นที่เยอะขึ้นตามรูป สามารถขนกระเป๋าใบเล็ก หรือ กระเป๋าผ้าได้อีก 1 ใบ ใส่ในช่องด้านซ้ายบน ถือว่าสอบผ่านเรื่องความจุ และเพียงพอต่อการใช้งานและความต้องการของแอดมินนะครับ
ที่นี้ลองวางกระเป๋าแบบตั้งเพื่อเทียบความสูงจะ พบว่ากระเป๋าขนาดใหญ่เข้าไม่ได้ แต่กระเป๋าขนาดกลางเข้าได้สบาย
แอดมินลองพับเบาะแถวสองลง แล้วเลื่อนกระเป๋าไปวางด้านหน้า ก็จะเหลือพื้นที่วางขางเกือบเต็มพื้นที่ถาดท้ายรถดังรูป
ยัง ยังไม่พอ แอดมินอยากลองเทียบขนของแบบอื่นดูบ้าง
ขนถุงกอล์ฟได้สบายๆ 1 ใบแบบไม่พับเบาะ และว่าลงช่องพอดี แต่ถ้าจะขน 2 ใบ อาจจะต้องวางเอียงๆ
ขนรถเข็น ต้องพับเบาะแถวสองลงครับ เนื่องจากรถเข็นยาวไป ปิดฝาท้ายไม่ได้ถ้าไม่พับเบาะ
รถเข็นเกินถาดท้ายรถมานิดเดียวเอง
ดังนั้นในเรื่องความจุของท้ายรถตามโจทย์ Subaru XV ผ่านครับ
-อุปกรณ์ภายในและฟังค์ชั่นการใช้งานอุปกรณ์ภายใน
Subaru XV ตัวใหม่ ได้มีการออกแบบชุดคอนโซลหน้าที่ทันสมัยและสวยงามมากขึ้นจากตัวเก่าเยอะมาก ทำให้สวยสู้รถคู่แข่งได้ คอนโซลหน้าออกแบบมีสโลปไปด้านหน้า ทำให้ไม่กินพื้นที่ในห้องโดยสาร และไม่ยกสูงลอยแบบคอนโซลของ Altis ทำให้มุมมองด้านหน้าโปร่งโล่งสบายคอนโซลส่วนบนเป็นวัสดุหุ้มบุฟองน้ำนุ่ม พร้อมเดินตะเข็บด้ายสีส้มจริง ไม่ใช้ตะเข็บปลอมดูหลอกๆ แบบที่รถหลายรุ่นชอบทำกัน ซึ่งแอดมินไม่ชอบเลย พร้อมประดับด้วยทริมแถมสีเงินกิ่งเงาทั้งที่ด้านหน้าผู้โดยสารและแผงประตู รวมทั้งกรอบช่องแอร์ กรอบพวงมาลัยและกรอบฐานเกียร์ด้วย
แก๊ะใส่ของด้านหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโช็คให้เปิดอย่างช้าๆ และนุ่มนวล แต่ภายในไม่ได้บุกำมะหยี่ มีขนาดใหญ่ใส่กระเป๋าผู้หญิงใบเล็กค่อนไปทางกลางได้สบายๆ
เมื่อเปิดไปด้านหลังแก๊ะจะเจอตู้แอร์ พร้อมจุดถอดชุดกรองแอร์ ซึ่ง XV มาพร้อมตัวกรองแอร์ภายในห้องโดยสาร
ชุดคอนโซลหน้าส่วนกลาง ประกอบด้วย ด้านบนสุด จอเอนกประสงคฺ์แสดงสถานะของรถ เครื่องปรับอากาศ และระบบต่างๆ ถัดลงมาเป็นชุดหน้าจอและเครื่องเสียง ถัดลงมาเป็นสวิสซ์ไฟฉุกเฉินและชุดควบคุมแอร์
เริ่มจากหน้าจอเอนกประสงค์
หน้าจอด้านบนจะแสดงค่าหลักจากขวาไปซ้ายดังนี้ เวลา อุณหภูมิฝั่งคนนั่ง ความแรงพัดลม โหมดทิศทางลง อุณหภูมิฝั่งคนขับ และขวาสุดคืออุณหภูมิภายนอก ส่วนการแสดงผลด้านล่างจะเปลี่ยนตามการเลือก ซึ่งปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้ดี ปุ่ม"INFO"ทีปุ่มความคุมพวงมาลัยด้านซ้าย โดยจะเปลี่ยนการแสดงผล ที่ละอย่าง ตามการกดปุ่มที่ละครั้ง ปุ่มตามรูปที่หน้าจอแสดงด้านบน
โหมดแสดงภาพรวมของรถ เป็นกราฟฟิครูป XV ที่ดูสวยใช้ได้ ในรูปแสดงว่าปรับไฟหน้าเป็นแบบอัตโนมัติ ถ้าเราเปิดไฟเลี้ยวหรือไฟฉุกเฉินในรูปก็จะแสดงไฟกระพริบให้ด้วยเสมือนจริง ซึ่งเก๋ดี
โหมดแสดงการทำงานของระบบส่งกำลังขับสี่ และมุมองศาการก้มเงยของรถ ซึ่งถ้าเรากดปุ่ม X-MODE ที่คอนโซลกลาง หน้าจอแสดงผลจะเปลี่ยนเป็นโหมดนี้ให้อัตโนมัติ
โหมดแสดงการทำงานของเครื่องยนต์ ได้แต่ อุณหภมิระบบหล่อเย็นซึ่งแสดงได้แค่ Normal กับร้อนจัด ซึ่งแอดมินก็ไม่ได้เจอกเครื่องร้อนจัดนะครับ 555 ตรงกลางเป็นการแสดงอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องยนต์ ในการใช้งานของแอดมิน เจอสูงสุดก็ประมาณ 110 องศา เวลารถติดมากๆ ส่วนเวลาขับเร็วตัวเลขจะต่ำกว่าเพราะมีลมช่วยระบายความร้อนของหม้อน้ำและห้องเครื่อง ทางขวาสุดแสดงความเร็วเฉลี่ยซึ่งแอดมินมองว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ น่าจะเปลี่ยนเป็น องศาคันเร่ง หรือ แรงม้าที่ใช้ หรือ อัตราการกระจายแรงบิดของระบบขับสี่ก็ได้ ซึ่งโหมดนี้เป็นโหมดที่แอดมินชอบเปิดดูไว้ตลอดเวลาที่ขับรถ
ถัดมาเป็นโหมดแสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย หรืออัตราสิ้นเปลืองขณะขับขี่ และระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันเชื้่อเพลิงที่เหลือในถัง ซึ่งมันแอบแสดงค่าซ้ำกับหน้าจอกลางที่หน้าปัทม์หน้าคนขับ เมนูนี้อาจะปรับเปลี่ยนเป็นข้อมูลอีกก็ได้นะครับ หรือจะเป็นแบบนี้ก็ได้ไม่เสียหายอะไร
โหมดพื้นฐาน แสดงเวลาแบบเข็ม วันที่ เดือน และวันจันทร์ถึงศุกร์
ถัดลงมาที่หน้าจอระบบความบันเทิงในรถ
ชุดเครื่องเสียงแบบสัมผัสหน้าจอ 8 นิ้ว ปุ่มซ้ายกดเพื่อเปิด-ปิด หมุนเพื่อหาคลื่น ถัดมา NAVI เป็นปุ่มกดเข้า Navigator ถัดมาเป็นปุ่มรูปบ้านคือปุ่มกลับสู่หน้าเมนูหลัก ถัดมาปุ่มลูกศรชิ้ไปทางซ้ายเป็นปุ่มย้อนกลับหน้าที่แล้ว ปุ่มขวารูปโทรศัพท์คือปุ่มสำหรับเข้าโหมดโทรศัพท์ ปุ่มหมุนด้านขวา กดเพื่อเปิด-ปิดเสียง หมุนเพื่อปรับระดับเสียง เมนูการใช้งานง่าย แต่เสียงที่ได้ ปรับยังไงก็ยังกลางๆ แบนๆ จุดนี้ถือว่าต่ำกว่าเกณท์ปกติ หน้าจอแอบสะท้อนแสงแดดมองยากไปนิดนึงเวลากลางวัน อาจจะปรับความเข้าหรือมุมการแสดงผลอีกนิดหน่อยจะเยี่ยมเลย อีกส่วนนึงที่แอดมินอยากแนะนำ น่าจะรวมการแสดงผลของหน้าจอเอนกประสงค์ มาไว้กับหน้าจอระบบเครื่องเสียงก็ได้ เพื่อเป็นการลดต้นุทน และให้ผู้ใช้สามารถใช้งานหรือดูจากจอเดียวไปเลยก็จะสะดวกมากขึ้น แต่แอดมินก็เข้าใจความยากของการทำงานของบริษัทรถยนต์เพราะปัจจุบันน่าจะแยก Supplier กันระหว่าง หน้าจอเอนกประสงค์ด้านบน กับ ผู้ผลิดชุดเครื่องเสียงพ้อมจอ แต่ก็ไม่ยากถ้าจะพยายามทำเพราะก็มีตัวอย่างรถหลายรุ่นที่ทำได้
เมนูในหน้าจอมี 6 เมนู
1) มีเดีย เพื่อเข้าระบบบันเทิงพวก วิทยุ แผ่นเพลง USB Ipod AUX และ Bluetooth Audio
2) HDMI เพื่อแสดงภาพหรือวิดีโอจากอุปกรณ์ที่ต่อ HDMI จากช่องเสียบด้านล่าง
3) โทรศัพท์ เพื่อทำการใช้งานโทรศัพท์ ผ่านหน้าจอ สำหรับโทรเข้า-ออก
4) การตั้งค่า การตั้งค่าต่างๆ
5) ระบบนำทาง
6) เสียง คือการปรับอีควอไลเซอร์ของเสียง
เมื่อกด 1) มีเดีย จะโชว์หน้าจอให้เลือกต่อ ว่าจะฟังเพลงจากแหล่งไหน
เมื่อกด 3) โทรศัพท์ จะมีปุ่มให้กดเบอร์ หรือกดเชื่อมต่อโทรศัพท์เพื่อเลือกเครื่องที่จะเชื่อมต่อแอดมินลองเชื่อมต่อโทรศัพท์ระบบ Android ใช้งานได้ดี และไม่น่ามีปัญหากับ I-phone เพื่อมีเครื่อง pair ค้างไว้อยู่ การเชื่อมต่อได้ต้องทำตอนรถหยุดเท่านั้นนะครับ
เมื่อกด 4) การตั้งค่า ก็จะมีหมวดให้เลือกปรับแต่งไม่ว่าจะเป็นภาษา ตั้งนาฬิกา ระดับความดังของเสียงต่างๆ และอื่นๆ
เมื่อกด 5) ระบบนำทาง ระบบก็จะทำการโหลดแอพสักครู่นึง ซึ่งถือว่าใช้เวลาเหมือนกันประมาณ 1 นาที ถึงจะเริ่มใช้งานได้ ระบบนำทางเป็นเสียงวัยรุ่นที่แปลกจากเสียงป้าใน Google Map หรือNavi แบบเดิม และประโยคหรือคำพูดก็เป็นคำพูดสมัยใหม่เข้าใจง่ายขึ้นด้วย ระบบนำทางก็นำทางได้ถูกต้องใช้ได้ดีมาก
ชุดควบคุมแอร์ เนื่องจากเกรด 2.0i-P จะเป็นระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกซ้ายขวาได้ ปุ่มใช้งานประกอบไปด้วย ปุ่มหมุนด้านซ้ายเพื่อปรับอุณหภูมิฝั่งผู้โดยสาร ภายในปุ่มด้านบนกดเพื่อไล่ฝ้ากระจกหน้า ปุ่มด้านล่างเพื่อไล่ฝ้ากระจกหลัง ถัดมาทางขวาระหว่างปุ่มหมุนด้านซ้ายและปุ่มหมุนตรงกลาง ปุ่มบน A/C เป็นปุ่มเปิดการทำงานของระบบแอร์ ด้านล่างปุ่ม MODE เป็นปุ่มปรับทิศทางลม ซึ่งจะแสดงผลที่หน้าจอด้านบนสุด
แอร์เย็นดีมาก แม้อาจจะเย็นช้านิดนึง เพราะแอร์มีฮีตเตอร์ และรถไม่มีฟิล์มกรองแสง อุณหภูมิภานอก 34 องศา แอดมินปรับแอร์ไว้ที่ 24.5 องศา พัดลมแรงเบอร์ 2 ก็เย็นสบายสำหรับผู้โดยสาร 2 คนด้านหน้า
ถัดลงมาใต้ชุดควบคุมแอร์ เป็นช่องต่อ HDMI สำหรับต่อจากโทรศัพท์ขึ้นหน้าจอ และช่อง USB และ AUX สำหรับฟังเพลง และช่อง AC เพื่อต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติมเช่น กล้องหน้ารถ
คอนโซลกลาง เป็นชุดเกียร์ ตบแต่งด้วย Piano black สีดำเงา พร้อมขอบสีเงินกิ่งเงา
ถัดลงมาตรงกลางเป็นชุดควบคุมเบรคมือไฟฟ้า ดึงขึ้นเพื่อดึงเบรคมือจะมีไฟสีแดงติดที่ปุ่มและหน้าปัทม์ กดลงเพื่อปลดล็อค (จาก คหสต.แอดมินไม่ค่อยชอบเบรคมือแบบไฟฟ้า เพราะเวลาดึงเบรค หรือปลดล็อคมันใช้เวลาไม่ทันใจเหมือนใช้ก้านดึง และใช้เวลาในการทำงานนาน พร้อมมีเสียงมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานที่ล้อหลัก ซึ่งก็เป็นเหมือนกันเกือบทุกยี่ห้อ แต่ถ้าใช้งานในเมืองแอดมินก็เข้าใจถึงความจำเป็น แต่ต้องมีระบบ Brake hold เวลารถติดไฟแดงมาให้ด้วยถึงจะเหมาะ) ด้านขวาเป็นชุดปรับโหมดขึ้นทางลาดชัน และ X-MODE สำหรับขับขี่ทางออฟโรด ซึ่งแอดมินจะอธิบายการใช้งานพร้อมหน้าจอกลางนะครับ
ถัดมาเป็นช่องใส่แก้วน้ำ 2 ใบ ใส่ได้พอดีหลายขนาด แน่นดี แก้วไม่ล้ม ถัดลงมาเป็นช่องใส่การ์ด นามบัตร หรือ มือถือเครื่องเล็กๆ ก้ได้
สามารถใส่แก้ว 7-11 ไซส์ใหญ่สุดได้พอดี
ที่ท้าวแขนตรงกลางหุ้มด้วยหนังบุนุ่ม พร้อมเดินตะเข็มด้ายสีส้มเช่นกัน ใช้งานได้ดี มีขนาดใหญ่ท้าวแขนได้ทั้งคนขับและคนนั่งพร้อมกันโดยไม่ต้องแย่งกัน ท้าวแล้วไม่แข็งไม่เจ็บศอกแต่ถ้าเพิ่มฟองน้ำเพื่อให้นุ่มกว่านี้อีกนิดจะดีมากภายในมีชุดเสียบไฟ A/C เอนกประสงค์อีกชุดนึง พร้อมช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์เช่น โทรศัพท์ถึง 2 ช่อง ไม่ต้องแยกกันกับคนนั่ง และที่ด้านหน้ามีรูสำหรับสายออกเพื่อไปเสียบโทรศัพท์ที่ด้านนอก 2 รู
ดุจากรุปนี้จะเห็นช่อง 2 ช่องสำหรับสายลอดได้ชัดเจน และช่องสี่เหลียมด้านหน้าก็ออกแบบสำหรับวางโทรศัพท์เครื่องไม่ใหญ่ได้
ม่านบังแดดพร้อมกระจกและไฟส่องสว่างทั้งฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสาร ซึ่งมีไฟเฉพาะเกรด 2.0i-P
ไฟส่องแผนที่ พร้อมช่องไมด์รับเสียงสำหรับโทรศัพท์
มือจับมีให้ 4 อัน รวมทั้งคนขับ
มีมือจับหลังมาพร้อม แม้จะมีม่านถุงลมนิรภัย
เสา B มีสัญลักษณ์ SRS Airbag บ่งบอกว่ามีม่านถุงลมนิรภัย ซึ่งให้มาทุกเกรด
พวงมาลัย ขนาดกำลังพอดี ไม่ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ ก้านพวงมาลัยก็ขนาดพอดีมือจับเหมือนกัน หุ้มด้วยหนังแท้ เย็บด้วยด้ายสีส้มเข้ากับส่วนอื่นๆ ชุดควบคุมตบแต่งด้วยวัสดุสีเงินกึ่งเงาเช่นเคย พวงมาลัยจับถนัดและหมุนได้ดี
ปุ่มควบคุมด้านซ้าย สำหรับควบคุมวิทยุ และหน้าจอกลางด้านบน ปุ่มลูกศรซ้ายและขวาคือปุ่มเลื่อนเพลงหรือช่องวิทยุ ถัดมาเป็นปุ่มเขี่ยขึ้นลงคือปุ่มปรับความดังของเครื่องเสียง ปุ่ม"Source"คือปุ่่มปรับที่มาของระบบเพลงเช่นวิทยุ USB และอื่นๆ ปุ่ม"INFO"คือปุ่มปรับเปลี่ยนการแสดงผลของหน้าจอกลางเอนกประสงค์ ถัดลงมาด้านล่างที่เป็นรูปหูฟัง ปุ่มซ้ายคือรับสาย ปุ่มขวาคือวางสาย ปุ่มถือว่าใช้งานสะดวกและง่ายดี
ด้านซ้ายของพวงมาลัยในช่องที่ตำแหน่ง 7-8 นาฬิกา เป็นปุ่มกดขึ้น-ลง เพื่อเปลี่ยนการแสดงผลที่จอแสดงผลกลางหน้าปัทม์
ชุดควบคุมทางขวาเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ปุ่มรูปหน้าปัทม์ความเร็วทางขวาบน คือปุ่มเปิด-ปิดระบบ (แต่ไม่ใช้สั่งเริ่มล้อคความเร็วนะครับ) ปุ่มกดขึ้น-ลงตรงกลางนั้น เมื่อกดลง"SET"ก็จะเริ่มล็อคความเร็ว หลังจากนั้นกดขึ้นลงเพื่อปรับความเร็ว
นี้คือตัวอย่างการแสดงผลที่หน้าปัทม์เมื่อเปิดระบบล็อคความเร็ว เมื่อเรากดปุ่มเปิดระบบล็อคความเร็ว ก็จะมีรูปไมล์ขึ้นเหนือปุ่ม D แสดงว่าระบบ Cruise Control เปิดแล้ว เมื่อเรากดปุ่ม SET ที่พวงมาลัย ก็จะเริ่มล็อคความเร็วให้ จากในรูปคือล็อคขณะความเร็วที่ขับอยู่ขณะนั้นคือ 106 กม/ชม.
ก้านควบคุมฝั่งซ้าย จะไม่เหมือนรถญีปุ่นทั่วไป แต่จะเหมือนรถยุโรป คือกดเปิดไฟเลี้ยว เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟหรี่ เปิดไฟสูง หรือกระพริบไฟสูง ก้านไฟเลี้ยวยาวไปนิด เวลาเปิดไฟเลี้ยวแล้วก้านค้างไว้ แต่เราจะคืนก้านไฟเลี้ยวกับ จากมือที่จับตำแหน่ง 9 นาฬิกา แอดมินต้องขยับมือขึ้นเพื่อให้ไปเขี่ยก้านลงมาได้ถึง (สงสัยนิ้วมือของแอดมินคงเล็ก แต่คิดว่าสำหรับ ผญ ที่มือเล็กและนิ้วสั้นคงจะเป็นเหมือนกัน)
ด้านหลังก้านพวงมาลัยมาพร้อมปุ่ม Paddle Shift - สำหรับลดอัตราทดเกียร์
ก้านทางขวาเป็นชุดควบคุมใบปัดน้ำฝนและระบบฉีดน้ำล้างกระจก รวมทั้งฉีดน้ำล้างไฟหน้าด้วย
พร้อมปุ่ม Paddle Shift + หลังก้านพวงมาลัย สำหรับเพิ่มอัตราทดเกียร์
ใต้คอพวงมาลัยทางด้านซ้าย เป็นก้านดึงเพื่อ ปรับระดับของพวงมาลัย ซึ่งปรับได้ทั้ง ขึ้น-ลง และดึงเข้า- ออก ซึ่งปรับดึงเข้าหาตัวได้ไกลมากๆ แอดมินไม่เคยเจอรถรุ่นไหนที่ปรับได้มากขนาดนี้ ทำให้สามารถปรับได้เหมาะกับผู้หญิ่งที่ตัวเล็ก หรือ ผู้ชายที่ขายาวต้องนั่งไกลก็สามารถดึงพวงมาลัยให้ไปอยู่ในระยะข้อมืดได้ จุดนี้ XV ทำได้เยี่ยมไปเลย
แป้นเหยียบของเกรด 2.0i-P จะได้แป้นเหยียบแบบสปอร์ตอลูมิเนียม ที่ใช้งานได้ดี ไม่มีลื่น
แต่ความสูงของแป้นเบรคสูงไปนิด เมื่อเทียบกำคันเร่ง ทำให้เวลาเหยียบคันเร่ง แล้วยกเท้ามาเหยียบเบรคต้องเหมือนยกเท้ามากไปนิด ส่วนตำแหน่งของแป้นก็อยู่กึ่งกลางกำลังดี ไม่เยื้องซ้าย-ขวา
ชุดควบคุมด้านขวาใกล้แผงประตูรถ มี 4ปุุ่ม เริ่มจากด้านซ้าย
1) ปุ่ม Start-Stop (เนื่องจากมีการติดสติคเกอร์ไว้ ถ้าลอกออกก็จะเป็นปุ่มสวยงามแบบปกติครับ)
การทำงานของปุ่ม Start-Stop มีดังนี้
- กดปุ่ม 1 ครั้ง ไม่เหยียบเบรค จะเป็นโหมด A/C สำหรับเปิดเพลงฟังเวลาดับเครื่องจอดรถอยู่
- กดอีก 1ครั้ง เป็น Ignition คือไฟจะไปเลี้ยงระบบต่างๆ ทำให้สามารถเปิด-ปิดหน้าต่างได้ และมีไฟแสดงสถานะที่หน้าปัทม์ รวมทั้งแสดงเลขไมล์รถที่หน้าปัทม์ด้วย
หรือ
- กด 1 ครั้งพร้อมเหยีบเบรค จะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์
- กด 1 ครั้งพร้อมเหยียบเบรค หลังจากที่เครื่องยนต์ติด จะเป็นการดับเครื่องยนต์
2) ปุ่มถัดมาที่หมุนขึ้น-ลงได้ตรงกลางเป็นปุ่มปรับความสว่างของชุดหน้าปัทม์ จอแสดงผลต่างๆในรถ
3) ปุ่มทางขวา"SRH OFF" กดค้างเพื่อปิดระบบไฟหน้าเลี้ยวตามทิศทางของพวงมาลัย
เมื่อกดปิด SRH ก็จะมีไฟสีเหลืองโชว์ว่า SRH OFF บนหน้าปัทม์
4) ปุ่มรูปรถไถล OFF คือปุ่มปิดระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว เมื่อกดจะมีไฟโชว์สีเหลืองที่หน้าปัทม์ด้านขวาตามรูปด้านล่าง ในสภาวะการขับขี่ปกติ ไม่ควรไปปิดมัน ปล่อยให้มันทำงานเพื่อความปลอดภัยของเราก็ดีแล้วครับ
ปุ่มที่แผงประตู
มากันที่หน้าปัทม์
หน้าปัทม์เป็นรูปกึ่งอนุรักษ์สำหรับหน้าปัทม์รอบและความเร็ว เนื่องจากเป็นแบบเข็มอนาลอคเดิมๆ แต่เพิ่มจอแสดงผล TFT ตรงกลางตามสมันนิยมมากหน่อย ซึ่งจอกลางสามารถแสดงค่าได้หลายอย่างมากเช่นในรูป แสดงว่าประตูฝั่งคนขับเปิดอยู่เป็นสีแดง สามารถแสดงแยกบานได้เลย โดยจะมีการแสดงผลที่ Fix คือ ด้านบนสุด แถบแสดงอัตราการกินน้ำมัน (จุดนี้น่าจะแสดงเป็นแถบตัวเลขด้วย เพราะแสดงเป็นแถบสี เหมือนใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มที่) ด้านล่างตัวอักษร P ในกรอบแสดงตำแหน่งเกียร์ ส่วน A ด้านขวาแสดงระยะทางที่จับทริป เลือกเป็น Trip A หรือ B ได้ที่ปุ่ม TRIP SELECT ข้างซ้ายของหน้าปัทม์ตามรูปด้านล่าง
กด 1 ครั้งเพื่อเลือก A หรือ B กดค้างเพื่อ reset ค่าที่ Trip นั้น
การเปลี่ยนการแสดงผลจอกลางสามารถกดปุ่มขึ้นลง i/SET ที่ตำแหน่ง 7-8 นาฬิกาของพวงมาลัยตามรูปที่แสดง
หน้าจอนี้แสดง เวลาที่ใช้ในการขับไปตั้งแต่เริ่มสตาร์ทเครื่องยนตื และระยะทางที่วิ่งไป
หน้าจอนี้ แสดงความเร็วเป็นตัวเลข
หน้าจอนี้แสดง อัตราการกินน้ำมันเฉลี่ย และระยะทางที่วิ่งได้ก่อนน้ำมันหมด ของ TRIP ที่เลือก
หน้าจอนี้แสดง อัตราการกินน้ำมันเฉลี่ย และระยะทางที่วิ่งได้ก่อนน้ำมันหมด ในภาพรวม
เมื่อกดปุ่ม "X-MODE" เพื่อเข้าสู่โหมดออฟโรด
หน้าจอกลางก็จะขึ้นคำว่า X-MODE พร้อมไฟสีเดียวรูปรถลงเนินพร้อมรูปเข็มไมล์ เพื่อแสดงว่าระบบช่วยควบคุมลงเนินชันพร้อมทำงานแล้ว
ขณะใช้ X-MODE หน้าจอเอนกประสงค์ตรงกลางคอนโซลก้จะแสดง
ค่าการทำงานของระบบขับสี่ และมุมก้ม-เงยของรถ โดยอัตโนมัติ
-แสงไฟภายในและแสงอุปกรณ์เวลากลางคืน
สีของไฟสว่างอุปกรณืที่ใช้หลักจะเป็นแสงสีแดงออกส้มนิดๆ ไม่มี Ambient light ภายใน
หน้าจอ 8 นิ้วระบบความบันเทิง
หน้าจอเอนกประสงค์กลาง
หน้าปัทม์หน้าคนขับ
ปุ่มควบคุมแอร์
ไฟตำแหน่งเกียร์ที่คันเกียร์
ไฟที่เบรคมือไฟฟ้า และระบบการขับขี่อออโรด
ไฟที่หน้าปัทม์พวงมาลัยมีทุกตำแหน่ง ดีมาก
ไฟชุดควบคุมความสว่างหน้าปัทม์ ระบบไฟเลียวตามพวงมาลัย สวิตซ์กระจกมองข้าง หน้าต่าง มีไฟทุกตำแหน่งเช่นกัน แสดงออกถึงความใส่ใจการใช้งานของผู้ใช้ และไม่ลดต้นทุน โดยการตัดไฟออก หรือ ใช้แบบเรืองแสงแบบที่เจ้าตลาดชอบทำ จุดนี้แอดมินชมเช่นกันครับ
-ทัศนวิสัย
จากการดีไซน์ห้องโดยสารที่เปิดโล่งไม่อึดอัด ทำให้รถคันนี้มีทัศนวิสัย ด้านหน้าและด้านข้างที่ดีเยี่ยม นั่งโดยสารแล้วไม่อึดอัด หรือเมารถง่ายๆแน่นอน
มุมมองด้านหน้า เนื่องจากกระจกหน้าที่บานใหญ่และไม่เตี้ย ทำให้มุมมองตำแหน่งคนขับเปิดโล่ง มองได้ชัดเจน เห็นฝากระโปรงหน้าประมาณครึ่งบาน ถ้าปรับตำแหน่งเหลือพื้นที่เหนือศรีษะประมาณ 1 ฝ่ามือแนวนอนนิดๆ มุมมองเสา A เนื่องจากการออกแบบให้มีกระจกหูช้าง หรือกระจกบานเล็กที่หน้าต่างด้านข้างและย้ายกระจกมองข้างมาว่างไว้ที่ข้างประตูแทน ทำให้เวลาเลี้ยวออกจากซ้าย หรือถึงจุดทางแยก เสา A และตำแหน่งกระจกมุมของกระจกมองข้างไม่บังรถมอเตอร์ไซด์ แต่กระจกมองข้างด้านซ้ายแอบมีจุดบอดเวลามารถที่มาจากด้านข้างด้านหลังนิดนึง ทำให้ขาดความมั่นใจในการเปลี่ยนเลนด้านซ้ายในบางจังหวะ แม้แอดมินพยายามจะปรับกระจกมองข้างแทบจะตั้งฉากและไม่เห็นตัวถังด้านข้างเลยก็ตาม จุดนี้น่าจะปรับมุมของเลนส์กระจกให้กว้างเพิ่มนิดนึง หรือ เป็นเลนส์แบบ 2 ระดับแบบรถยุโรปก็ได้
มุมมองฝั่งคนนั่งหน้า ก็เปิดโล่งเช่นกัน ไม่อุดอัดเลย
มุมมองของคนนั่งเบาะหลังตำแหน่งกลางก็โปร่งโล่ง ไม่เมารถง่ายๆแน่นอน
มุมมองคนนั่งหลัง หลังเบาะคนขับ จากการออกแบบเบาะนั่งสบาย โดยที่ตัวเบาะไม่ต้องใหญ่เว่อร์ และหหัวเบาะก็มีขนาดไม่ใหญ่เกินไปและทรงก็รีเล็กด้านบน ทำมุมมองคนโดยสายเบาะหลังไม่อึดอัดเลย ไม่เมารถง่ายๆเช่นกัน (รถคู่แข่งบางรุ่นที่หลังคาก็ลาดเอียงเยอะ หน้าต่างบานไม่ใหญ่ แถมออกแบบเบาะใหญ่เว่อร์ เลยทำให้ชวนเมารถตั้งแต่แค่นั่ง รถยังไม่ได้เคลื่อนที่เลย) จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อรถของแอดมิน เพราะแอดมินเมารถง่าย เลยเข้าใจหัวอกของผู้โดยสารหรือคนในครอบครัว เวลานั่งรถที่ออกแบบอึดอัด นั่งแล้วเมารถง่าย) Subaru XV ถือว่าสอบผ่านในจุดนี้ และทำได้ดีที่สุดในกลุ่มนี้
มุมมองด้านท้ายรถ กระจกบานหลังบานไม่ใหญ่มาก มุมมองด้านข้างจะโดยเสา C บังไปบ้าง แต่ก็พอมีมุมมองที่สูง เพราะกระจกบานหลังไม่เตี้ยจนเกินไป จากการใช้งานจริงแอดมินไม่มีปัญหากับมุมมองด้านหลังใดๆเลย ถือว่าสอบผ่านในจุดนี้
มุมมองด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง จะเป็นแบบนี้ครับ เสา C จะบังด้านข้าง ซึ่งปกติกระจกมองหลังแอดมินจะเอาไว้มองด้านท้ายตรงๆอย่างเดียวอยู่แล้ว ส่วนด้านท้ายข้างๆจะใช้กระจกมองข้างมองเวลาถอดจอดเพื่อไม่ให้ไปเฉี่ยวเสาหรือรถด้านข้าง ส่วนมุมมองด้านท้ายด้านล่าง XV ก็มีกล้องมองหลังและเซนเซอร์เตือนเสริมอยู่แล้ว
ดังนั้นในเรื่องความกว้างและขนาดของตัวรถ ทัศนวิสัยตามโจทย์ของ Subaru XV ผ่านครับ
เครื่องยนต์ เกียร์ และห้องเครื่อง
-เครื่องยนต์
ใน New Subaru XV นั้นได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ รวมทั้งแก้ปัญหาหลักของเครื่อง Boxer นอนก็คืออัตราการกินน้ำมัน โดยเปลี่ยนระบบฉีดน้ำมันเชื้่อเพลิงเป็นแบบฉีดตรง Direct Injection เพื่อให้การฉีดน้ำมันเชื่อเพลิงได้ทั่วถึงในห้องเผาไหม้และใช้น้ำมันเชื่อเพลิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เครื่องยนต์เป็นแบบ DOHC 16วาล์ว ขนาดลุูกสูบ กว้าง 84 มม. ระยะชัก 90 มม. 1,995 ซีซี อัตราส่วนการอัด 12.5 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน ที่ 4,000 รอบต่อนาที อัตราการปล่อยไอเสีย CO2 162 ก./กม.
เพลทแสดงรหัสตัวถัง, Applied Model รุ่น, Trim, สีรถ , รหัวเครื่องยนต์ , รหัสเกียร์
- เกียร์
เกียร์เป็นแบบ CVT สามารถเลือกเป็นโหมดแมนนวล (M) โดยล๊อคอัตราทดได้ 7 เกียร์
ในโหมด D เมื่อเรากดเปลี่ยนเกียร์ที่ Paddle Shift +/- เกียร์จะทำการเปลี่ยนให้แต่สักแป๊บเดียวก็จะตัดเข้าโหมด D
ในโหมด M ทำได้โดยการเลื่อนตำแหน่งคันเกียร์ลงต่ำสุดและผลักไปทางขวาจะเข้าโหมด M หน้าปัทม์จะแทนด้วยเลขตำแหน่งเกียร์ แทนตัว D และสามารถเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้นลงได้ที่ก้าน Paddle Shift หลังพวงมาลัย แต่ในการใช้งานบนถนนทั่วไป โหมด M แทนไม่รู้สึกแตกต่างหรือเร็วขึ้นจากโหมด D อย่างมีนัยยะสักเท่าไหร่ แอดมินก็เลยจะใช้งานแค่โหมด D แล้วกดคันเร่งอย่างเดียวดีกว่า สะดวกว่าเยอะ นอกจากไปขึ้นเขา ลงเขาหรือทางลาดชันเยอะๆ ถึงจะได้ใช้โหมด M เพื่อล็อคเกียร์ต่ำไว้
อัตราทดดังนี้
เกียร์ D : 3.600-0.512
เมื่อเลือกเป็นโหมดแมนนวล
เกียร์ 1 : 3.600
เกียร์ 2 : 2.155
เกียร์ 3 : 1.1516
เกียร์ 4 : 1.092
เกียร์ 5 : 0.843
เกียร์ 6 : 0.667
เกียร์ 7 : 0.557
เกียร์ถอย : 3.687
เวลาใช้งาน เกียร์ทำงานได้สมูทหรือเปลี่ยนได้นุ่มดี จับอาการไม่ได้ อาจจะมีแค่จังหวะที่กดคันเร่งเยอะ แต่อุณหภูมิของน้ำมันเกียร์ยังต่ำอยู่ ที่มีการสั่นหรือรู้สึกเย่อนิดนึง แอดมินเจอเวลาที่เครื่องยังเย็นอยู่แล้วขับออกจากซอย ต้องเร่งทำความเร็วให้เท่าคันอื่นๆ หรือจังหวะเดียวกันที่ต้องเข้ามอเตอร์เวย์ แล้วเร่งความเร็ว มีอาการเย่อนิดหน่อย แต่ไม่น่าเกลียด (จังหวะที่เจออาการเย่อ Oil temp ประมาณ 94 องศา) แต่จากการใช้งานในเมืองรถติดๆหนัก 2 ชม. Oil Temp ก็ไม่เกิน 105 องศา ยิ่งตอนเร่งทดสอบอัตราเร่ง Oil temp กลับไม่สูงเลย คงเพราะมีลมประทะหม้อน้ำ และห้องเครื่องช่วยระบายความร้อนด้วยก็ได้
อันนี้คือ Oil Temp สูงสุดที่แอดมินเจอ ขณะรถติด 2 ชม.
รอบเครื่องยนต์ในแต่ละช่วงความเร็ว
-ความเร็ว 80 กม./ชม. รอบ 1,200 รอมต่อนาที
-ความเร็ว 100 กม./ชม. รอบ 1,500 รอมต่อนาที
-ความเร็ว 110 กม./ชม. รอบ 1,750 รอมต่อนาที
-ห้องเครื่อง
ชุดสายพานหน้าเครื่อง
ชุดกรองน้ำมันเครื่องกระปุกสีดำอยู่ด้านบนถอดง่าย ฝาเหลืองทางขวาข้างกระปุกดำคือช่องเติมน้ำมันเครื่อง กระปุกขาวฝาเหลืองทางซ้ายคือถังพักน้ำหมือน้ำ ถัดมาทางขวาเป็นฝาหม้อน้ำ และกระปุกขวาฝาเหลืองทางขววล่างคือถังน้ำปัดกระจกหน้า
แบตเตอร์รี่ลูกใหญ่มาก แม้ไม่มีระบบ Start-stop ขนาด 55 แอมป์
สายไฟในห้องเครื่องหุ้ม Corrugate พร้อมพันเทปมิดชิด ยันปลายสาย ไม่มีการลดต้นทุนลด Corrugate หรือลดเทปแบบที่ค่ายเจ้าดังตลาดชอบทำ สายไฟผลิตจากบริษัท Yazaki
ส่วนของช่องว่างระหว่างซุ้่มล้อและแก้มหน้า มีพลาสติคหุ้มอย่างดีสวยงาม ไม่ปล่อยไว้หน้าเกลียดแบบรุ่นใหม่หลายรุ่น
บริเวณปลายแผงจิ้งหรีด ด้านล่างของกระจกหน้า ใกล้บานพับฝากระโปรงหน้า ส่วนปลายก็มีฟองน้ำแข็งปิดเรียร้อยป้องกันหนู หรือ เศษใบไม้เข้าติดภายใน
ส่วนกระปุกสีเงิน ตรงกลางในรูป แอดมินไม่แน่ใจว่าเป็นออยเกียร์หรือไม่ แต่จากท่อที่ต่อมี 4 ท่อ ทั้งน้ำมันเข้าออก และน้ำเข้าออก แอดมินจึงคิดว่าเป็นออยเกียร์
สายไฟในห้องเครื่องมีฉนวนกันความร้อน กันกรอบเร็วเรียบร้อย
บริเวณคานหน้า ใต้พลาสติคครอบทับ ก็พ่นสีตัวถังครบทั่วทั้งหมด ไม่มีการลดต้นทุนสีแบบรถหลายนรุ่น ที่ราคาพอๆกัน หรือแพงกว่า
รูปนี้พิสูจน์ได้ว่า Subaru XV เป็นแอร์อัตโนมัติแบบมีฮีตเตอร์ เพราะมีท่อน้ำร้อนเข้าไปในห้องโดยสาร หรือ คอยด์เย็นชันเจน (ท่อคู่สีดำ)
Subaru XV น่าจะมีแตร 2 ตัว High-Low แต่แอดมินหาเจอแค่ตัวเดียว แต่คิดว่ามีแอบในกันชนหน้าอีก 1 ตัว เพราะเสียงไม่ได้ง๋อยแบบบีบแล้วหมาไม่หลบแบบรถหลายรุ่น หรือแม้แต่คู่แข่งเจ้าตลาดเข่นกันที่ต้องไปเปลี่ยนแตรกันเอง รถขายเกิน 1 ล้านบาทควรมีแตรคู่ได้แล้ว ต้นทุนเพิ่มอีกตัวไม่ถึง 2 ร้อยบาทเลยครับ อันนี้แอดมินก็ถือว่า XV ทำให้ดี และเหมาะสม
อัตราเร่ง
เนื่องจากอัตราเร่งด้วยการจับเวลานั้นยังไงก็อาจมีการคาดเคลื่อนได้บ้างจากการกดช้ากดเร็ว ผมก็เลยลองใช้ App ที่จับ GPS ในโทรศัพท์ช่วยเพิ่มอีก 1 ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกัน
จากอัตราเร่งที่ได้ 11.62 วินาที แอดมินถือว่ากลางๆค่อนไปทางช้า ถ้าเปรียบเทียบกับรถคันเก่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วของแอดมิน Toyota Wish รถปี 2003ที่เป็นรถ 7 ที่นั่งเครื่อง 2,000 ซีซีเหมือนกันแต่เป็นเกียร์แบบโบราณและอาจมีน้ำหนักเบาะแถวสามที่ถ่วงเพิ่มนั้นใช้เวลา 12 วินาที แต่เมื่อมองที่ Subaru XV ปี 2018 รถใหม่กว่า 15 ปีเครื่อง 2,000 ซีซีเหมือนกัน หัวฉีดตรง ไม่มีเบาะแถวสาม แต่มีน้ำหนักถ่วงเพิ่มที่ระบบขับสี่แต่เกียร์เป็นเกียร์ CVT ที่ปกติเร่งได้เร็วกว่าเกียร์แบบเดิม แต่กับทำตัวเลขได้ต่ำกว่าแค่ 0.4 วินาทีถือว่าช้าไปนิดกับยุคสมัยนี้ แต่เมื่อดูจากตัวเลขที่เทียบจาก GPS โดย App กับได้เวลา 10.20 วินาทีซึ่งถือว่าเร็วใช้ได้ โดยจุดที่ต่างกันคือการจับเวลาจะเริ่มนับตั้งแต่เริ่มเหยียบคันเร่ง แต่ GPS เริ่มจากรถเริ่มขยับตัว ในตอนที่ขับนั้นแอดมินรู้สึกว่าหลังจากกดคันเร่งสุดไปแล้วนั้น เครื่องยนต์เริ่มเร่งรอบเร็วแต่รถยังไม่ยอมเคลื่อนเร็วตามรอบ คงเป็นเพราะเกียร์มีการสงวนแรงบิดไว้กันการกระชากที่สายพาน ซึ่งจะทำให้เกียร์ สายพานเกียร์และชิ้นส่วนมีอายุสั่นลงแบบมีนัยยะ แบบที่หลายๆคนชอบทำเหมือนขับเกียร์แบบเดิม แอดมินอยากจะแนะนำให้เร่งออกตัวเบาๆพอรถเคลื่อนค่อยกดเต็มนะครับ จะได้ถนอมเกียร์ถนอมเงินในกระเป๋าคุณผู้อ่านด้วย เพราะราคาเกียร์ CVT ลูกนึงไม่ใช้ถูกๆราคาหลักแสน แพงกว่าค่าซ่อมเกียร์แบบเดิมที่ราคาหลักหมืนกว่าบาทมากนักแต่ในชีวิตจริงเราไม่ค่อยได้เร่งจาก 0 -100 กม/ชม.บ่อยเท่าไหร่อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้แข่งกับใคร หรือ ขับหนีใครในมุมมองของคนขับรถแบบปกติทั่วไป เพราะเวลาเราออกจากไฟแดงคันแรกเราก็ไม่ค่อยจะเหยียบคันเร่งมิดตั้งแต่เริ่มตลอดเวลาจนความเร็วถึงร้อยอยู่แล้ว ดังนั้นปกติตัวเลข 0-100 แอดมินจะดูไว้เป็นข้อมูลเฉย แต่ไม่ใช้นัยยะสำคัญในการมองว่ารถคันนี้ เร่งแรงหรือช้าขนาดนั้น
ตัวเลข 80-120 กม/ชม.ตะหากเป็นตัวเลขที่แอดมินชอบดู และเป็นตัวเลขในการขับจริงจังบ่อยครั้งในชีวิตจริง ตัวเลข 80-120 นั้นใช้เพียงการจับเวลาเท่านั้น เนื่องจากแอดหาแอปที่จับ 80-120 ไม่เจอ 555 ถ้าคุณผู้อ่านท่านไหนมีแอปดีๆแนะนำแอดมินได้เลยนะครับ ขอเป็น Android นะครับขอบคุณล่วงหน้าครับ
จากตัวเลขที่ได้ 8.09วินาทีค่อยดูแรงเหมาะสมขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังแอบช้ากว่า CHR ที่เครื่องแค่ 1,800 ซีซีและเป็นเกียร์ CVT เหมือนกันอยู่ดี แต่จากการขับใช้งานจริงๆนั้น อัตราเร่งเวลาลอยตัวที่ได้นั้นไม่ถือว่าอืดนะครับ เพราะถ้าเทียบกับ Eco car ทุกตัวหรือ B-segment 1,500 ซีซีทุกรุ่นแล้ว แอดมินก็ยังรู้สึกว่า XV เร่งได้เร็วกว่า และุถ้าเทียบกับ C-segment เครื่อง 1,800 ซีซีหรือ 2,000 ซีซีก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก
ในการขับจริง อัตราเร่งหลังจากรถเคลื่อนตัวแล้วจะรู้สึกเร่งดี จนกระทั้้งความเร็วเกิน 140 กม/ชม. ขึ้นไปถึงจะเริ่มรู้สึกว่าเร่งได้ช้าเริ่มตื้อ ความเร็วที่สูงสุดที่ทำได้ที่ 185 กม/ชม.แต่สุดถนนซะก่อน ถ้ามีทางต่อคงไปได้มากกว่านี้อีกนิดนึง จากสเปคที่บอกว่าความเร็วสูงสุด 194 กม/ชม. และผมก็มองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหาเส้นทางอื่นเพื่อทดสอบความเร็วสูงสุดให้ได้ตามสเปคขนาดนั้น เพราะจริงๆ 180 กม/ชม.ก็ถือเป็นความเร็วที่มากเกินสภาพจราจรในปัจจุบันที่รถเยอะแล้ว และเส้นทางที่แอดมินลองก็เป็นเส้นทางที่รถน้อยมากเหมือนเป็นทางค่อนข้างปิดไม่ค่อยมีรถสัญจรซึ่งถือว่าปลอดภัยดีและไม่มีความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ
พวงมาลัย&เบรค&ช่วงล่าง
- พวงมาลัย
Subaru XV รุ่นใหม่เปลี่ยนจากพวงมาลัยไฮดรอลิคที่หนักและคมดีในรุ่นเก่าเปลี่ยนมาเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS แบบแร็คแอนด์พีเนียนนั้นคือจุดที่แอดมินห่วงว่าจะเบาะไปไหม แต่จากการขับขี่จริง ก็เบาะขึ้นเยอะที่ความเร็วต่ำ ขับตามซอกซอยหรือ กลับรถได้ง่ายและสะดวกขึ้น และที่ความเร็วสูงก็ยังพอได้ แต่ก็แอบเบาไปนิดนึง แต่ถ้าไม่แก้ไขก็ถือว่าโอเคร เพื่อให้เข้ากับลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง
- เบรค
ระบบเบรคเป็น Disc brake ทั้ง 4 ล้อพร้อมจานเบรคแบบครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อเช่นกัน
คาลิเปอร์เหล็กหล่อแบบ 1 pot
ตัวนี้เป็นชุดควบคุมแรงดันเบรค ABS Module
ตัวนี้เป็นหม้อลมเบรค
-ช่วงล่าง
Subaru XV นั้นเป็นช่วงล่างอิสระทั้งสี่ล้อ
- ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท
- ช่วงล่างหลังแบบปีกนกคู่ดับเบิ้ลวิชโบน
ซึ่งแอดมินไม่ค่อยห่วงความเกาะของช่วงล่าง Subaru อยู่แล้ว กลัวแต่ว่าจะแข็งไปกว่าตัวเก่าไหมตะหาก กลัวจะแข็งเหมือน Subaru WRX คงไม่เหมาะกับรถ SUV ที่ใช้งานในเมือง แต่จากการลองขับจริงช่วงล่าถือว่านุ่มกว่าเดิมมาก อาจจะเพราะยางที่แก้มยางหนาขึ้นด้วย แต่ยังเกาะหนึบเหมือนเดิม ในโค้งยิ่งเร่งยิ่งเกาะ ทิ้งโค้งได้อยากมั่นใจ แต่อย่าขับเร็วจนเกินลิมิตก็พอ รับรองไม่มีหลุดโค้ง
ด้วยความที่แอดมินอยากเห็นใต้ท้องชัดๆ ถึงขนาดลงทุนมุนไปใต้ท้องเลยนะครับ
มุมมองจากด้านหน้ารถ ใต้แผ่นปิดใต้เครื่อง ปิดหมดดีครับ
รูปนี้ตั้งแต่ส่วนปลายห้องเครื่อง ผ่านเกียร์ ที่เห็นแท๊งเกียร์สีดำ และท่อไอเสีย วิ่งแนวกลางรถไปท้ายรถ
มุมมองนี้จากด้านท้ายรถ จะเห็นว่ามีการอออกแบบ เก็บใต้ท้องเรียบร้อยดีมาก มีพลาสติคปิดด้านซ้ายและขวาเพื่อลดลมหมุนใต้ท้อง แม้แต่ขนาดหม้อพักกลางไอเสียยังออกแบบให้แบน ไม่ห้อยลงมาต่ำกว่าจุดอื่นๆ สมกับเป็นรถ Crossover ขับสี่จริง รถคู่แข่งค่ายเจ้าตลาดที่ชอบมีท่อหรือสายอะไรก็ไม่รู้ห้อยต่ำลงมาควรดูเป็นแบบอย่างที่ดีไว้นะครับ ควรออกแบบเก็บงานให้เรียบร้อยแบบค่ายนี้
จุดนี้พบยอยเพลากลางเป็นสนิม ซึ่งแอบผิดปกตินิดนึง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับรถปิคอัพที่ราคาตั้งแต่ไม่ถึงล้าน จนเกือบสองล้านก็สนิมขึ้นแบบนี้เหมือนกัน ก็อาจจะพอรับได้ แต่ใครรับไม่ได้ก็ไปพ่นกันสนิมใต้ท้องเพิ่มตั้งแต่ป้ายแดงก็ดีนะครับ
ชุดลิ้งปีกนกคู่ดับเบิลวิชโบนของช่วงล่างหลัง แอดมินนับจำนวนลิ้งค์ได้ 6-7 ลิ้งเนี่ยแหละ ในรุปแกนตั้งสีขาวคือหนวดกุ้งยึดเหล็กกันโคลง
รุปนี้ชัดๆกับเพลาขับหลัง
ชุดมอเตอร์ที่มีตรา Subaru นั้นคือชุดควบคมเบรคมือไฟฟ้าที่ล้อหลัง
- ความสูงใต้ท้องรถ
จากโจทย์เริ่มต้นของแอดมินของแอดมินที่ว่ารถต้องลุยน้ำได้แบบสบายใจนิดนึง คือสัก 200 มม.นั้นแอดมินก็ได้หาข้อมูลจากโบวชัวร์และเว็บที่ต่างประเทศ เพื่อมาทำเป็นตามรางเปรียบเทียบให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ได้ตามตารางด้านล่าง
จากตัวเลขในตารางเห็นได้ชัดว่า XV มีความสูงใต้ท้องมากกว่า Crossover คันอื่นที่เป็นคู่แข่ งและแถมยังสูงกว่า SUV คันอื่นๆที่ขายอีกด้วย คือสูงเท่ากับ Subaru Forester ตัวเก่าที่ 220 มม.เลย ดังนั้น Subaru XV ผ่านโจทย์ชนะเลิศไปแบบสบายๆ แอดมินได้หาตัวเลขของรถเก๋งกลุ่ม C-segment มาด้วยเพื่อให้เห็นข้อมูลเปรียบเทียบกันชัด
แต่ยัง แอดมินอย่างจะเห็นภาพให้มันชัดๆ เข้าไปอีก แอดมินเลยไปเสาะหาของที่มีความสูง 220 มม. มาเทียบให้ชัดเจนก็ไปเจอกล่องพัสดุที่ทิ้งไว้พอดี จากค่าในตารางที่มีก็มาเขียนบนกล่องเพื่อเปลี่ยนจากตัวเลขเป็นภาพให้ชัดเจนขึ้น เทียบสเกลกับไม้บรรทัดให้เห็นกันไปเลย
เมื่อเทียบกับสิ่งของอื่นๆ ก็จะพบว่า กล่องสูง 220 มม.นิดๆ ก็ต่ำกว่าขวดน้ำนิดหน่อย ตามรูป
เมื่อมีรถทดสอบอยู่กับตัว เราก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดๆว่ากล่อง 220 มม. จะลอดใต้ท้องได้ตามสเปคในโบวชัวร์หรือไม่ ?
ด้านหน้าพิสูจน์แล้วผ่านได้ ตัวกล่องจะโดนหญ้าดันขึ้นมานิดนึง
กาบด้านข้างรถก็ผ่านได้สบาย แถมยังผ่านขวดน้ำได้อีกด้วย
ที่นี้ก็มาถึงจุดต่ำสุดใต้ท้องรถ ก็พิสูจน์แล้วว่าได้ 220 มม. ตามสเปคสบาย
ดังนั้นในเรื่องความสูงใต้ท้องตามโจทย์ Subaru XV ผ่านครับ
อัตราสิ้นเปลือง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนี้เป็นหัวข้อสำคัญที่ได้รับการปรับปรุงสำหรับ Subaru XV ใหม่ เนื่องจากตัวเก่า และชื่อเสียงของ Subaru ว่าค่อนข้างเปลืองน้ำมัน ดังนั้นแอดมินก็ได้ขับพิสูจน์กันทั้งในเมือง นอกเมือง และใช้จนเติมน้ำมันกันเลย
- ในเมือง
เส้นทางที่ทดสอบตั้งแต่ถนนร่มเกล้า ที่ขึ้นชื่อว่ารถติดมาก ติดตั้งแต่เช้าตรู เข้ามอเตอร์เวย์ ขึ้นทางด่วนตั้งแต่แรกบริเวณที่ถนนศรีนครินทร์ จ่ายเงินผ่านด่าน 2 ด่าน ลงดินแดง ขับใต้ทางด่วนโทลเวย์ ไปออกเส้นจตุจักร ระยะทองประมาณไปกลับประมาณ 70 กม. แอดมินได้ทดสอบ 2 รอบ
- รอบแรก ออกจากร่มเกล้าเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ถึงจตุจักรประมาณ ทุ่มครึ่ง ใช้เวลา 1.5 ชม. และขับกลับมาร่มเกล้าอีก 1 ชม. มอเตอร์มีโล่งช่วงสั้น ความเร็วได้ไม่เกิน 110 กม/ชม.รวมระยะเวลา 2.5 ชม. ระยะทางรวม 90.5 กม. ขับความเร็วตามสภาพจราจร
อัตราสิ้นเปลืองหน้าปัดได้ 12.65 กม/ลิตร
- รอบสอง ออกจากร่มเกล้าเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ถึงจตุจักรประมาณ 7 โมงครึ่ง และขับกลับมาจอดที่ที่ปั้ม ปตท. ถนนเสรีไทย วิ่งไประยะ 69.2 กม. ระยะเวลารวม 2 ชม. ขาไปติดมาก ขากลับโล่งนิดหน่อย
อัตราสิ้นเปลืองหน้าปัดได้ 14.0 กม/ลิตร
- นอกเมือง
เส้นทางที่ทดสอบตั้งแต่ถนนร่มเกล้า เข้าทางขนานสนามบิน เข้าบางนาตราด ขึ้นทางด่วนไปลงพระราม 2 วิ่งต่อไปเรื่อย สภาพการจราจร มีรถติดที่ร่มเกล้าและถนนพระรามบางช่วง ได้ระยะทาง 166.3 กม.
อัตราสิ้นเปลืองหน้าปัดได้ 16.67 กม/ลิตร
-อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย
ระยะทางที่วิ่งทดสอบทั้งหมด ทั้งในเมือง นอกเมือง ระยะทางร่วม 631 กม.
อัตราสิ้นเปลืองหน้าปัดได้ 13.89 กม/ลิตร
เติมน้ำมันจนเต็มถังแบบหัวจ่ายตัดได้ 1,278 บาท เด็กปั้มกดเพิ่มอีก 2 บาทเป็น 1,800 บาท 48.486 ลิตร
ระยะทางที่วิ่งไป 631 กม.
อัตราสิ้นเปลืองจากน้ำมันที่เดิมได้ 13.01 กม/ลิตร
Subaru XV ถังน้ำมันมีความจุ 63 ลิตร ซึ่งจุมากๆ เพราะรถ Crossover รุ่นอื่นจุได้น้อยกว่าเยอะ HRV 50 ลิตร, CHR 43 ลิตร, CX3 48 ลิตร ทำให้ XV วิ่งได้มากว่าคันอื่นเป็นร้อย กม. ก็ไม่ต้องแปลกใจไป
ดังนั้นน้ำมัน 1 ถัง จะวิ่งได้ไกลเท่าไหร่
- กรณีตัวเลขจากหน้าปัทม์ 13.89 กม./ลิตร วิ่งได้ 875 กม.
- กรณีตัวเลขจากที่เติมจริง 13.01 กม./ลิตร วิ่งได้ 807 กม.
ดังนั้นในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามตัวเลขทีได้ถือว่า Subaru XV ผ่านครับและลบภาพว่า Subaru กินน้ำมันไปได้เลย
สมรรถณะในการขับขี่จากความคิดเห็นของแอดมิน Drive Master
- พวงมาลัย
พวงมาลัยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เล็ก ไม่ใหญ่กำลัง หมุนเลี้ยวถนัด ศอกไม่ติดที่ท้าวแขนหรือปีกเบาะถ้าปรับตำแหน่งเบาะถูกต้อง พวงมาลัยสามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ขึ้น ลง ไกล ใกล้ได้ โดยเฉพาะระยะดึงให้มาใกล้ตัวนั้นดึงได้เยอะมากกว่ารถคันอื่นๆ ซึ่งทำให้สามารถปรับได้ถนัดสำหรับคนขายาวนั้งไกลพวงมาลัย ขนาดเส้นรอบวงก้านพวงมาลัยขนาดมาตราฐานจับถนัดมือดี
น้ำหนักพวงมาลัยเท่าที่แอดมินจำได้เบากว่าตัวเก่า ในความเร็วต่ำน้ำหนักกำลังดี หนักว่า Eco car หรือ Ford Everest ใหม่ ถ้าเทียบกับ CHR จะใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่ไม่ปัญหาสำหรับการใช้ในเมือง กลับรถในที่แคบที่ต้องสาวพวงมาลัยหลายรอบทำได้สบายมาก
ในช่วงความเร็วสูง น้ำหนักพวงมาลัยกำลังดีสำหรับผู้หญิง แต่สำหรับแอดมินแอบรู้สึกเบาไปนิดนึง ระยะฟรีจากจุดกึ่งกลางพอมีทำให้พวงมาลัยไม่ไวเกินไป ขับทางไกลแล้วไม่เหนื่อยและก็ไม่ต้องค่อยขับไปแต่งพวงมาลัยไปด้วยเพื่อให้รถมันตรงถือว่ากำลังดีสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าขับแบบสายมุดอาจจะต้องทำความคุ้นเคยสักหน่อยพอชินก็จะขับได้คล่อง แต่ในการหมุนเพื่อควบคุมทิศทาง การหมุนสั่งไป 100 รถก็เลี้ยวให้ 100 ไม่เลี้ยวขาดหรือเลี้ยวเกิน ซึ่งความแม่นยำแบบนี้เป็นหัวข้อสำคัญสำหรับพวงมาลัยที่แอดมินต้องการ เพราะถ้าพวงมาลัยไม่แม่นคือหมุน 100 แต่ได้เลี้ยว 80 หรือ 120 แบบนี้ทำให้ขับแล้วไม่มั่นใจ เวลาขับเร็วๆในถนนที่กำลังทำ พวงมาลัยก็นิ่งดีไม่ดิ้นไปตามถนนที่ต่างระดับหรือไม่เรียบ
สรุปในหัวข้อของพวงมาลัย CX3มีความคมแม่นยำสุด รองลงมา CHR คมกลางๆดีกว่า XV นิดเดียวเท่านั้น
- ช่วงล่าง
ช่วงล่าง XV ใหม่ นิ่มกว่าตัวเก่ามาก สปริงเหมือนมีค่าความแข็ง 2 ส่วน ส่วนแรกเก็บแรงสะเทือนสำหรับทางขรุขระนิดหน่อย แต่เมื่อมีการยุบที่เยอะจะเข้ายุบถึงความแข็งสปริงอีกขั้น ซึ่งยุบตัวได้น้อยออกแนวแข็งแต่ก็รับได้ ทำให้เวลาวิ่งทางขรุขระทั่วไปรถเก็บแรงสั่นสะเทือนได้ดี แต่ถ้าวิ่งผ่านเนินลูกระนาดหรือถ้าวิ่งรูดเร็วจะนิ่มแค่ช่วงแรกแต่พอยุบเยอะสปริงจะแข็งและส่งแรงสะเทือนมาเต็มๆ หรือถ้ารูดผ่านเนินต่อม้อทางด่วนแบบเร็วๆต่อเนื่อง อาจจะจุกนิดๆได้
ช่วงล่างเวลาเลี้ยวเข้าโค้ง จังหวะแรกจะมีการยุบเอียงนิดนึง อาจจะเพราะจากสปริงที่มีค่านุ่มส่วนแรก แต่หลังจากนั้นช่วงล่างก็ไม่ยุบแล้วรถไม่มีการเอียงเพิ่ม จะเป็นอาการนิ่งๆเกาะโค้งไปเลย การเข้าโค้งแล้วช่วงล่างมีอาการลักษณะแบบนี้จะทำให้คนขับขับแล้วมั่นใจมาก
ในช่วงความเร็วสูง ถ้าเราเจอสะพานเล็กๆแบบถนนพระราม 2 ช่วงเซ็นทรัลพระราม 2 มุ่งหน้าทางขึ้นทางด่วนเข้ากรุงเทพ ซึ่งเป็นสะพานที่ทางลงสะพานเอียงไม่เท่ากัน รถทั่วไปจะมีการเสียอาการนิด แต่ XV กับลงแบบตรงไม่เอียง และจะเป็นการเด้งแบบทีเดียวอยู่ ถือเป็นอาการที่ดูมั่นคงดี
แอดมินว่าช่วงล่างดีกว่า CX3/CX5 เพราะนุ่มกว่า และดีกว่า CHR เพราะเกาะกว่า เผลอๆแอดมินว่าช่วงล่างดีกว่า BMW X1 ตัวใหม่ด้วยซ้ำ ถือว่าในราคาเกือบ 1.3 ล้าน คนซื้อจะได้ช่วงล่างที่ดีเกินราคารถ และแอดมินคิดว่าดีกว่ารถญีปุ่นทุกคันที่ขายในประเทศไทย ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
- เบรค
เบรคหนึบและเอาอยู่มากๆ มีจังหวะนึงที่แอดมินขับบนถนนชนบท 2 เลน มีลูกวัวหลุดจากเชือกที่คนเลี้ยงกำลังผูกวิ่งมาที่ถนน แอดมินได้ระวังไว้แล้วตั้งแต่เห็นลูกวัวด้วยการยกเท้ามารอไว้ที่แป้นเบรค เมื่อเห็นลูกวัวเชือกหลุดแอดมินก็เหยียบเพิ่มน้ำหนักที่แป้นเบรคแบบเต็มเท้า รถก็เบรคแบบหัวทิ่มเกือบหยุดอย่างรวดเร็วรถไม่เสียการใดๆเลย ก็ได้พิสูจน์ให้แอดมินเห็นว่าเบรคหนึบจริงๆ แอดมินว่าเบรคได้อยู่กว่า BRZ หรือ WRX ด้วยซ้ำ เผลอแอบดีกว่ารถยุโรปที่แอดมินใช้อยู่อีกด้วยนะเนี่ย จุดนี้แอดมินต้องชมเลย
การเบรคชลอความเร็วในพื้นที่ต่างระดับหรือถนนที่กำลังซ่อมระดับซ้าย-ขวาไม่เท่ากันและขรุขระด้วย แล้วเป็นจังหวะที่เบรคหนักนิดนึง ปกติรถทั่วไปจะมีการฉะแลบไปทางพื้นที่ฝั่งที่ต่ำกว่าหรือเสียอาการแบบที่แอดมินเจอว่าปิคอัพคันข้างๆ เสียการรถฉะแลบชัดเจน แต่กับ Subaru XV รถชลอความเร็วลงแบบนิ่งตรงๆ ไม่เสียอาการเลยสุดยอดมาก
ส่วนการเบรคเพื่อชลอความเร็วในเมืองนั้น น้ำหนักแป้นเบรคถือว่าเบากว่าพวก BRZ หรือ WRX แค่ยกเท้าแล้วลงน้ำหนักเบาๆรถก็เริ่มชลอแล้ว แต่ถ้าเราเบรคชลอความเร็วจากความเร็วปานกลางมาระดับนึงแล้วเราต้องเบรคมากขึ้น พอเราเพิ่มน้ำหนักเท้าที่กดแป้นเบรคเพิ่มนิดนึงแต่น้ำหนักแรงเบรคที่เกิดขึ้นเพิ่มเยอะกว่าน้ำหนักเท้าที่เรากด ทำให้รถจะชลอลงแรงนิดนึงเกือบหัวทิ่ม ถ้าคนขับตกใจแล้วเหยียบเบรคแรงอาจทำให้เบรคหัวทิ่มได้ให้ระวังรถคันหลังจะชนท้ายเอานะครับ ถ้าจะแก้ในจุดนี้อาจต้องทดแรงเบรคให้ตามน้ำหนักเท้าละเอียดกว่านี้อีกนิดนึงก็จะ Perfect
- เครื่องยนต์&อัตราเร่ง
เสียงเครื่องยนต์เวลาขับค่อนข้างเบาและเงียบดี แม้ขณะเวลาเร่งก็มีเสียงครางกลางๆ ไม่ร้องโวยวายเหมือนจะขาดใจแบบรถหลายรุ่น รอบเดินเบาก็เสียงเงียบปกติเหมือนเครื่องเบนซิลทั่วไป
เวลาเร่งแซงแบบกดคันเร่งมิด รอบเครื่องก็ป้วนเปี้ยนแถว 4,000-5,000 รอบต่อนาที และจะได้ยินเสียงท่อไอเสียคำรามเพราะๆเบาๆ จากทางท้ายรถ ให้อารมณ์เวลาขับเร็วๆเพิ่มได้นิดนึง
อัตราเร่งจาก 0-100 กม/ชม. ตัวเลขอาจจะช้าไปหน่อย แต่ในการใช้งานขับจริงในเมือง เช่นจังหวะรถจอดสนิทเลนกลาง ต้องการเร่งออกตัวไปยังเลนขวา พร้อมทั้งปรับความเร็วให้เท่ากับรถที่ตามหลังในเลนขวานั้น ก็๋สามารถเร่งออกตัวใช้ได้ ไม่ค่อยมีอาการรอรอบ หรือไม่กล้าเปลี่ยนเลน ถือว่าเร่งเปลี่ยนเลนได้ดีกว่ารถ Eco-car หรือ B-segment แน่นอน น่าจะพอๆกับ C-segment เครื่อง 1,800 ซีซี
อัตราเร่งในช่วงความเร็วกลาง 80-120 กม./ชม. แบบขับเร็วนิดหน่อยบนมอเตอร์เวย์ อาจจะต้องมุดเปลี่ยนเลนนิดหน่อย เพื่อหลบรถช้าแช่ขวา การเร่งเพื่อเปลี่ยนเลนเข้าช่อง ทำได้ดี ตามเท้าดี หรือแม้แต่เปลี่ยนเลน แล้วต้องเบรคก็ทำได้ดี แอดมินถือว่าทำได้ดี ขับสนุกๆ ประมาณ 80% ของ BMW รุ่นที่ขับสนุกกันเลย (เผลอๆสนุกว่า BMW X1 ด้วยซ้ำ) ถ้าใครชื่นชอบรถที่ขับมุดเบาในช่วงความเร็ว 80-120 กม/ชม. แอดมินมั่นใจว่าขับ XV แล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน
อัตราเร่ง ยังเป็นรอง CX3 2.0 อยู่ประมาณนึง และอาจพอๆหรือเป็นรอง CHR 1.8 เบนซิน อยู่นิดๆ และยังสู้ CX5 2.0 ไม่ได้อยู่ดี แต่ถือว่าใช้งานได้ดีเลย ในมุมมองของคนใช้รถทั่วๆไป
- การเก็บเสียง
แอดมินจำการเก็บเสียงของ XV ตัวเก่าไม่ได้ แต่คิดว่าดีขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ การเก็บเสียงลมที่กระจกหน้าและกระจกข้างเวลาวิ่งที่ความเร็ว 100-130 กม/ชม. ทำได้ดี ไม่มีเสียงที่กระจกมองข้างเลย แต่จะได้ยินเสียงจากช่วงล่างหลังผ่านทางซุ้มล้อในในช่วงความเร็วสูง แต่ไม่ไดัดังหนวกหูจนคุยไม่รู้เรื่อง แอดมินถือว่าค่อนข้างกลาง เก็บเสียงดีกว่ารถ B-segment ถ้าเทียบกับ CX5 ใหม่ถือว่าใกล้เคียงกัน
ดีกว่า HRV ดีกว่า CHR นิดนึงในส่วนของเสียงจากพื้นถนน
การเก็บเสียงเครื่องยนต์ดีมาก จะเริ่มได้ยินเสียงเมื่อขับที่รอบสูงเกิน 4,000 รอบ/นาที เพื่อให้มีอารมณ์สนุกนิดนึง
เวลาขับในพื้นที่ขรุขระ ไม่ได้ยินเสียงกุ๊กกั๊กใดๆ ที่แสดงถึงการทำงานของช่วงล่างเลย แม้รถคันนี้จะวิ่งมาหมื่นโลแล้วก็ตาม เสียงการทำงานของช่วงล่างถือเป็นจุดเด่นของ XV คันนี้เลย เสียงเบากว่า CX5 CX3 CHR HRV ที่เป็นรถใหม่ๆวิ่งน้อยกว่าด้วยซ้ำ เอาจริงๆ แอดมินว่าช่วงล่างทำงานเงียบกว่า Camry ใหม่ด้วยซ้ำไป
ดีกว่า HRV ดีกว่า CHR นิดนึงในส่วนของเสียงจากพื้นถนน
การเก็บเสียงเครื่องยนต์ดีมาก จะเริ่มได้ยินเสียงเมื่อขับที่รอบสูงเกิน 4,000 รอบ/นาที เพื่อให้มีอารมณ์สนุกนิดนึง
เวลาขับในพื้นที่ขรุขระ ไม่ได้ยินเสียงกุ๊กกั๊กใดๆ ที่แสดงถึงการทำงานของช่วงล่างเลย แม้รถคันนี้จะวิ่งมาหมื่นโลแล้วก็ตาม เสียงการทำงานของช่วงล่างถือเป็นจุดเด่นของ XV คันนี้เลย เสียงเบากว่า CX5 CX3 CHR HRV ที่เป็นรถใหม่ๆวิ่งน้อยกว่าด้วยซ้ำ เอาจริงๆ แอดมินว่าช่วงล่างทำงานเงียบกว่า Camry ใหม่ด้วยซ้ำไป
ภาพรวม
จากโจทย์ทั้งหมดสำหรับพิจารณาซื้อรถคันใหม่ที่แอดมินกำหนดไว้ในตอนแรกนั้น แอดมินก็ได้พิสูจน์แล้วว่า Subaru XV สามารถผ่านโจทย์ที่แอดมินตั้งไว้ 4 ข้อ ไม่ว่าจะเป็น
1) ลุยน้ำท่วม Subaru XV มีใต้ท้องที่สูงถึง 220 มม. ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่ม
2.) ขนาดไม่ใหญ่หรือกว้างเกินไป ภายนอกขนาดกำลังดี ขับในเมืองไม่ยาก ภายในกว้างขวาง ทำให้ผ่านโจทย์นี้ไปได้สบายๆ
3.) มีพื้นที่ขนของด้านท้ายที่ใหญ่และขนของสูงๆ ได้ ในตอนแรกก็กังวลแต่แอดมินก็พิสูจน์แล้วว่าสมารถขนกระเป๋าได้ 5 ใบ โดยไม่ต้องพับเบาะ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน
3.) ขอเป็นรถญีปุ่นเท่านั้น แน่นอน Subaru เป็นแบรนด์รถญีปุ่นก็ต้องผ่านแน่นอน แต่ด้วยความที่เป็นเครื่อง Boxer และขับสี่ตลอดเวลา ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่ารถญีปุ่นทั่วไปแน่นอน โดยเฉพาะน้ำมันเฟืองท้ายและน้ำมันเครื่องที่ต้องใช้ดีกว่ารถญป.ทั้วไปนิดนึง
หลังจากที่แอดมินได้รถ XV มาทดลองขับ 4 วัน ประมาณ 630 กม.นั้น ทั้งสภาพในเมืองนอกเมืองความเร็วสูงความเร็วต่ำถือว่าครบทุกด้านในการใช้งานของคนปกติทั่วไป แอดมินก็เริ่มมีความรู้สึกอยากจะได้มาใช้สักคัน ด้วยเหตุผลเพิ่มเติมจากโจทย์ก็คือ
1) แอดมินชอบล้างรถเอง และล้างละเอียดโดยเฉพาะในซุ้มล้อ ด้วยความที่ XV เป็นรถ Crossover ที่ใต้ท้องสูงกว่ารถทั่วไปจึงทำให้มีซุ้มล้อที่สูง ช่องว่างระหว่างยางกับซุ้มล้อเยอะ จึงทำให้สอดมือเข้าไปล้างได้ง่ายดายมาก ลายล้อก็ล้างง่ายเช็ดทุกซอกง่ายด้วยความที่เป็นสีดำออกเทา ถึงแม้วล้างไม่เกลี้ยงก็ไม่ทิ้งรอยคราบให้เห็นชัดจนดูออกง่าย การเป็นรถสูงอาจทำให้ล้างหลังคาได้ยากแต่ด้วยความที่ XV มีราวแรคหลังคาจึงสามารถปีนขอบประตู แล้วเอามือเหนี่ยวแรคหลังคาเช็ดหลังคาได้สบายๆเช่นกัน
2) รถสีส้ม ปกติแอดมินไม่ค่อยชอบรถที่มีสีเด่นหรือสีฉูดฉาดแบบนี้ยิ่งสีส้มยิ่งไปใหญ่ แต่พอได้ขับใช้งานจริงๆก็ดูสวยใช้ได้นะ จอดไหนก็หาง่ายขับไปไหนคนก็มอง ที่สำคัญคือฝุ่นเกาะแล้วมองไม่ค่อยออกทำให้รถดูสะอาดอยู่ตลอด สีส้มเมื่อเวลาล้างรถแล้วเช็ดน้ำช้าจนแห้งก็ไม่ค่อยเกินคราบน้ำที่เห็นชัดด้วยต่างจากสีเข้มหรือสีดำที่ปล่อยให้เป็นคราบน้ำแห้งไม่ได้เลยจะน่าเกลียดมาก
3) Crossover เป็นรถที่สูงกว่ารถเก๋งปกติ จึงทำให้ขับใช้งานในเมืองได้ง่ายสะดวก ตำแหน่งเบาะนั่งสูงกำลังดีมองทางได้ง่ายไม่ต้องชะเง้อคอมอง
4) อัตราเร่ง เพียวพอสำหรับการใช้งานในเมือง เดินทางไกลก็ใช้ได้ เร่งแซงรถสวนไม่ต้องกังวล แถมยังประหยัดน้ำมันใช้ได้เลยด้วย
จุดเด่น&จุดที่ควรปรับปรุง
- จุดเด่น
จากข้อมูลหลายๆ อย่างได้พิสูจน์แล้วว่า Subaru XV เป็นรถที่มีความเอนกประสงค์มากๆ ใช้งานได้รอบด้าน ด้วยความที่ราคารถในประเทศเรามีราคาแพง ดังนั้นการจะซื้อรถสักคันควรจะใช้งานได้ครอบคลุมหลายๆอย่าง ซึ่ง XV ก็เป็นรถที่ตอนโจทย์นี้ได้คุ้มมากๆ
เนื่องจากแอดมินเคยทำงานเกี่ยวกับการลดต้นทุนรถมาเป็นสิบปี ดังนั้นแอดมินจึงชอบหาจุดลดต้นทุนในรถทุกคันที่เจอ ซึ่งปกติรถญี่ปุ่นเจ้าตลาดทั้งหลายหรือแม้แต่เจ้ารองนั้นช่วงหลังชอบลดต้นทุนกันแบบเห็นได้ชัดใช้เวลาดูแค่ 5-10 นาทีก็มักจะหาจุดลดต้นทุนได้หลายจุดแล้ว แต่กับ Subaru XV ที่อยู่ด้วยกันมา 4 วันแอดมินกับหาไม่ค่อยเจอ ไม่ว่าจะเป็นห้องเครื่ิองภายในห้องโดยสารหรือใต้ท้อง
อาจจะเจอบ้างนิดหน่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่รับได้ไม่น่าเกลียดอะไร หรือทำให้ความปลอดภัยลดลงแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น
ทริมแผงประตูหน้าเป็นลายคาร์บอนเงา+ขอบเงินกึ่งเงา
แต่ทริมด้านหลังเป็นพลาสติคกัดลายคาร์บอน
ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรในมุมมองของแอดมิน เพราะที่ท้าวแขนก็ยังหุ้มหนังบุนุ่มมาให้ด้วยเหมือนประตูหน้า (ถ้าจะปรับปรุงก็เก็บพลาสติคลายคาร์บอนส่วนหลักไว้เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนส่วนขอบให้เป็นสีเงินกึ่งเงาแบบประตูหน้าก็เยี่ยมแล้ว)
ในขณะที่คู่แข่งบางรุ่น แผงประตูหลังเป็นพลาสติคทั้งบาน ไม่มีวัสดบุนุ่มใดๆเลยกับรถที่ราคาเกิน 1 ล้านบาท (วัสดุแบบนั้นไม่ต่างจาก Eco car ที่ราคา 4-5 แสนเลย) จุดแบบนี้ที่แอดมินรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่
ดังนั้นแอดมินก็อยากให้ Subaru รักษาความดีงามที่ไม่ลดต้นทุนแบบนี้ไว้ เพราะในความเป็นจริงมันมีส่วนอื่นๆ ที่สามารถลดต้นทุนได้แถมยังดูดีอีกมากมาย เช่น
มือจับประตูที่เป็นสีเงินด้าน ดูดี มีราคา สามารถทำใส่ได้กับรถทุกสีทุกเกรด เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนในการทดสอบเทียบสีกับตัวถัง (ปกติแม้สีเดียวกับตัวถัง ก็จะยังมีความต่างกัน ต้องทำการปรับเทียบสีดีๆ) และแถมยังประหยัดสต็อคไม่ต้องแยกเป็นหลายๆสี เก็บอะไหล่แค่สีเงินสีเดียวจบ
จากสีเงินของมือจับที่กล่าวมา สามารถมาประยุคใช้กับกรอบไฟสองทะเบียนเหนือป้ายทะเบียนได้ ที่ปกติเป็น body color หรือสีเดียวกับตัวถัง ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นสีเงินด้านแบบเดียวกับมือจับได้ เพราะดูเข้ากับสีมือจับและราวแรคหลังคา ทำให้ดูดีมากขึ้นดูดีกว่าเป็นโครเมียมเงา แบบที่รถหลายรุ่นชอบทำกัน (ชิ้นงานแบบโครเมียมมีต้นทุนแพงกว่าชิ้นงานแบบทำสีเยอะ) แถมยังประหยัดค่าสต็อคอะไหล่ไม่ต้องแยกสีอีกด้วย อันนี้แอดมินขอแนะนำ
- จุดที่ควรปรับปรุง
จริงๆแล้วการเป็นรถขับสี่ตลอดเวลาเป็นจุดเด่นของ Subaru อยู่แล้ว แต่ในบางครั้งแอดมินก็มองว่าควรสามารถปรับตามความจำเป็นได้บ้าง เช่น เวลาใช้งานในเมืองรถติดๆขับช้า ก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นที่จะขับสี่ เพราะทำให้เปลืองน้ำมัน และสูญเสียกำลังในการเร่งไปบ้าง ถ้าเป็นไปได้ในรถบางรุ่น อยากให้ทาง Subaru พิจารณา เพิ่มปุ่มเลือกระบบการขับเคลื่อนเป็นแค่แบบมีให้เลือก 2WD : 4WD ก็พอ
ซึ่งผู้ใช้ก็สามารถปรับเป็น 2WD สำหรับขับในเมืองคลานๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน ลดแรงเสียดทานในระบบส่งกำลัง ลดการสึกหรอของระบบขับสี่ และปรับเป็น 4WD สำหรับเวลาฝนตกถนนลื่น หรือเวลาที่เริ่มขับเร็ว เข้าโค้งเยอะ ต้องการความมั่นใจ ส่วนสายซิ่งทิ้งโค้งซึ่งเป็นแฟนคลับของระบบขับสี่ของ Subaru ก็สามารถเลือก 4WD ตลอดเวลาเลยก็ได้ ถ้าทำได้แบบนั้น Subaru XV หรือรุ่นอื่นๆ ก็จะเป็นรถที่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ในกลุ่มที่กว้างขึ้น กลุ่มลุกค้าใหญ่ขึ้น เพราะปัจจุบันนี้รถ SUV หลายๆุรุ่นจะมีระบบขับสี่แบบปรับเองอัตโนมัติตามสภาพถนนและแรงเสียดทานที่ล้อ แต่จากประสบการณ์เวลาที่รถเริ่มเสียการทรงตัวหรือเริ่มลื่นไถล ระบบเหล่านี้ก็ยังทำงานช้าไปอยู่ดีในมุมมองของแอดมินและจากประสบการณ์ที่แอดมินเคยขับรถที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นรถที่เลือกปรับระบบได้ไม่ว่าจะเป็น 2WD หรือ 4WD นั้น ก็ทำให้แอดมินรอดชีวิตจากอุบัติเหตุมาแล้ว คือตอนแรกขับบนถนนปกติก็ปรับเป็น 2WD แต่พอผ่านม่านหมอก ก็เจอถนนที่เป็นน้ำแข็งอย่างทันทีทันใด เมื่อแอดมินเริ่มเบรครถก็เริ่มไถล แอดมินจึงรีบเปลี่ยนเป็น 4WD ทันที รถก็กับมาขับขี่ได้ตรงอย่างปกติ และแอดมินก็ล๊อค 4WD ตลอดเส้นทางนั้น ถ้าแอดมินเลือก SUV รุ่นอื่นที่ปรับเป็นขับสี่อัตโนมัติก็คงขับต่อไปแบบไม่มั่นใจ และลงข้างทางเหมือนคันอื่นๆที่แอดมินเจอระหว่างทาง
ในปี 2019 ไตรมาสแรกนี้ Subaru ก็จะเริ่มประกอบ Subaru Forester ที่ประเทศไทยแล้ว ก็น่าจะช่วยให้ผู้ใช้ Subaru มั่นใจเรื่องอะไหล่ได้มากขึ้น ว่าไม่ต้องรออะไหล่นาน เพราะชิ้นส่วนส่วนใหญ่น่าจะผลิตในไทยมากขึ้น ระยะเวลาในการส่งอะไหล่ก็จะสั้นขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ทาง Subaru พิจารณาประกอบ XV ที่ประเทศไทยด้วย สำหรับตัว Minor change ก็ได้ เพราะยอดขายในไทยส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่น XV ก็น่าจะเหมาะสมดี และทำให้ลูกค้า XV มั่นใจขึ้นด้วย เมื่อขายดีขึ้นเยอะแล้วก็อยากให้เพิ่มจำนวนศูนย์บริการให้มากขึ้นด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริการหลังการขาย เพราะจะยิ่งเป็นการติดปีกให้ Subaru ในไทยอย่างแข็งแกร่งขึ้นนั้นเอง เพราะจากศักยภาพของรถ Subaru ที่มีอยู่ และถ้ามีการบริการหลังการขายที่ดีขึ้น ก็จะทำให้ Subaru เป็นขวัญใจคนไทย ที่ชอบรถขับสมรรถนะดี ราคาเหมาะสม ได้ไม่ยากแต่อย่างใด
ทาง Drive Master ขอขอบคุณเป็นพิเศษ
คุณ ทักษ์ดนัย สวรรยาธิปัติ
บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับรถดีๆในการทดสอบในครั้งนี้
บริษัท โฟว์ดี คอมิวนิเคชั่น จำกัด
สำหรับการติดต่อประสานงานเป็นอย่างดี
สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง :
ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ



















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น