โดยขั้นตอนของการจะไปขับรถที่ต่างประเทศนั้นประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ครับ
1. ทำใบขับขี่สากล
เงื่อนไขและขั้นตอนมีดังนี้
1.1 จำเป็นต้องมีใบขับขี่รถยนต์ก่อน ทั้งแบบชั่งคราวต้องต่ออายุ และแบบถาวร
1.2 เตรียมเอกสาร
- สำเนาหนังสือเดินทาง เซ็นต์รับรองสำเนา 2 ชุด พร้อมฉบับจริง
- สำเนาบัตรประชาชน เซ็นต์รับรองสำเนา 2 ชุด พร้อมฉบับจริง
- สำเนาใบขับขี่ เซ็นต์รับรองสำเนา 2 ชุด พร้อมฉบับจริง ที่ยังไม่หมดอายุ
- รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น ไม่มีภาพวิวด้านหลัง หลังรูปเขียนชื่อ นามสกุลและเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย
- กรณีมีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ต้องเตรียมเอกสารการเปลี่ยนไปให้เรียบร้อย พร้อมสำเนา
- เงินค่าธรรมเนียม 505 บาท
กรณีไม่สามารถไปทำเรื่องได้เอง ต้องมีการมอบอำนาจ พร้อมติดอากรแสตมป์ที่ใบมอบอำนาจ และสำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจเพิ่มเติมไปด้วย
1.3 ไปยื่นเอกสารที่ ณ สำนักงานขนส่งพื้นที่ 1-5 หรือ สำนักงานขนส่งทุกจังหวัด
ปกติใบขับขี่สากลจะมีอายุแค่ 1 ปี ถ้าจะไปถ้าหมดอายุต้องไปทำใหม่ ซึ่งผมว่าเสียเวลามาก ควรจะยืดอายุเป็น 2 ปี แล้วเก็บไปเลย 1,010 บาทก็ยังดีกว่า
2. ใบขับขี่ตัวจริง
ทั้งแบบเก่า ที่เป็นตลอดชีพ
หรือแบบ Smart Card ที่มีทั้งแบบตลอดชีพ และแบบชั่วคราว
กรณีนี้เกี่ยวกับใบขับขี่ แอดมินมีประสบการณ์ที่ค่อนข้างจะเซ็งที่นิวซีแลนซ์มาแชร์ให้ฟัง คือ แอดมินพกใบขับขี่ตลอดชีพสีชมพู-ส้ม (ที่ไม่ใช่ Smart Card) พร้อมใบขับขี่สากล ไปที่ไอส์แลนด์ ก็ไม่มีปัญหาขับไปได้ทั่วประเทศ แต่ที่นิวซีแลนด์ดันซีเรียส เพราะไม่มีภาษาอังกฤษในใบขับขี่ตลอดชีพแบบเก่า ทำให้ไปเช่ารถขับหรือขับรถในประเทศนิวซีแลนด์ไม่ได้ อ้าว!!! แล้วแบบนี้จะทำยังไงล่ะ มาถึงที่เช่ารถแล้ว แล้วเราก็เป็นคนขับหลักซะด้วย สุดท้่ายก็หาทางออกด้วยการต้องให้บริษัทแปลเอกสาร แปลใบขับขี่เป็นภาษาอังกฤษให้ก่อน ก็จะขับได้ แต่ แต่ ปัญหายังไม่จบเพราะ ณเวลาที่ไปรับรถ เป็นเวลา 2 ทุ่ม บริษัทก็ปิดไปแล้ว แต่ต้องเสียเงินเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ คุยกับคนแปลเสร็จ เสียเงินตั้ง 49 NZD (1,225 บาท) แล้วรออีก 1 ชม. ก็เป็นอันเรียบร้อย ขับรถออกไปได้
3. จองรถล่วงหน้าจากเว็ปบริษัทรับจองรถ
โดยทริคในการจองรถที่แอดมินพอจะทราบก็มีประมาณนี้
3.1 ให้เลือกจองรถ แบบไปรับรถ หรือ คืนรถ ในเวลาทำงานปกติ เช่น 8:00-17:00 น. จะมีค่าเช่าที่ถูกกว่า กรณีที่ไปรับ หรือ คืนนอกแวลาทำงาน เพราะทางบริษัทจะชาร์จค่า OT ให้พนักงานอยู่ในค่าเช่ารถที่เราต้องจ่ายด้วย
ตัวอย่าง เช่น
ตย.1 เช่า 1 วัน รับและคืน 5 โมงเย็น ค่าเช่า 49 NZD
ตย. 2 เช่า 1 วัน รับและคืน 1 ทุ่ม ค่าเช่าเพิ่มเป็น 109.32 NZD
3.2 เช่ารับรถและคืนรถ ควรให้ครบเป็นจำนวนวันเต็ม ไม่ควรเกิน ชม. ไป เพราะจะโดนคิดค่าเช่าเพิ่มอีก ครึ่งวัน หรือ บางที่โหดๆหน่อยก็เพิ่มอีก 1 วัน ตามตัวอย่างด้านล่าง
ตย.3 รับและคืนรถ ครบ 1 วันเต็ม ค่าเช่า 49.32 NZD
ตย.4 รับและคืน เกิน 1 วันไม่นิดๆ แบบเราต้องการคืนรถตอนเช้าของอีกวัน ทำให้คิดเป็นเช่า 1 วันกว่า
โดนค่าเช่าเพิ่มเป็น 66.6 NZD เท่ากับเพิ่มเป็น 2 วัน (เช่น เราต้องไปขึ้นเครื่องตอนเช้า ก็เลยต้องไปคืนรถตอนเช้า แล้วให้บริษัทเช่ารถมาส่งที่สนามบิน หรือไปส่งคนอื่นๆที่สนามบินก่อนแล้วไปคืนรถ กรณีแบบนี้อาจลองจะให้รถตู้ที่ รร. ไปส่งที่สนามบินแทน อาจจะฟรี หรือเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าเช่ารถเพิ่ม)
3.3 เลือกเช่ารถให้เหมาะสมกับที่ต้องการ ในราละเอียดเช่น ขนาดของรถ (เล็ก,กลาง, ใหญ่) จำนวนคนที่ไป จำนวนและขนาดของกระเป๋า ไซส์ใหญ่กี่ใบ ไซส์กลางกี่ใบ, ต้องเป็นเกียร์แมนนวล หรือ ออโต้ เป็นต้น
เช่น
ตย.5 ในช่องสีเหลือง
- รถปี 2008-2012
- ขนาดเครื่องยนต์ 1300 ซีซี
- จุคนได้ 5 คน แต่น่าจะแบบเบียดเพราะเป็นรถ Small size
- เกียร์ ออโต้
- อัตราการกินน้ำมัน 7.5 ลิตรต่อ 100 กม. หรือ 13.33 กม.ต่อลิตร (เอา 100 หารด้วย 7.5)
- ความจุท้ายรถได้ กระเป๋าใหญ่ 1 ใบ ใบเล็ก 2 ใบ เป็นต้น (ถ้าไป 4 คน กระเป๋าใหญ่ 4 ใบ ก็ต้องหาคันที่ใหญ่กว่าเป็นพวก Mid Size หรือ SUV แทนจะเหมาะสมกว่า)
คันนี้เป็นแบบ Middle Size ก็ประมาณ Altis หรือ Civic บ้านเรา จะจุได้ 5 คน กระเป๋าใหญ่ 2 ใบ กระเป๋าเล็ก 3 ใบ
คันนี้เป็น Full Size ประมาณ Camry หรือ Accord ที่บ้านเรา จุคนได้ 5 คน กระเป๋าใบใหญ่ได้ 2 ใบ และกระเป๋าเล็ก 3 ใบ ถ้าสังเกตุจะไม่ค่อยต่างจาก Mid Size แต่จะนั่งได้สบายกว่า ไม่อึดอัด ถ้านั่งไกลๆ หลายร้อยกิโลเมตร ขึ้นไป
3.4 เลือกรถให้เหมาะสมกับเส้นทาง หรือ ถนนที่จะขับ
อยากในกรณีที่เส้นทางที่จะขับรถท่องเที่ยวเป็นเส้นทางผสม คือ ถนนคอนกรีตสำหรับในเมือง ถนนราดยางสำหรับทางต่างจังหวัด หรือทางลูกรังสำหรับเส้นทางที่จะไปน้ำตก หรือ ทะเลเป็นต้น สำหรับกรณีที่จำเป็นต้องขับทางค่อนข้างออฟโรดแบบนี้ อาจจะต้องเช่า SUV ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น 4WD หรือขับเคลื่อนสี่ล้อ เหมาะกับขับถนน หรือ ทางที่ต้องลุยทางลูกรัง หรือทางที่เป็นหิมะ เช่นที่ Iceland จะเหมาะสมกว่ารถทั่วไปที่ขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อหน้า หรือ 2 ล้อหลัง (จากประสบการณ์ของแอดมินตอนขับที่ Iceland เมื่อผ่านหมอก หรือพายุหิมะ ไปแล้วก็เจอทางที่เป็นน้ำแข็ง ถ้าไม่ได้รถที่เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อช่วยไว้ ก็คงตกข้างทางไปแล้ว)
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเลือกรถให้เหมาะสมกับเส้นทางด้วย
อย่างกรณีคันนี้ที่เป็น Mid Size SUV จะเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลา หรือ เลือกได้
หรือจะเป็นแบบ Full Size SUV ซึ่งก็เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ซึ่งก็จะดีกว่าแบบขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลา แต่ก็ต้องแลกกับอัตราการกินน้ำมันที่ดุขึ้น หรือ เปลืองน้ำมันมากขึ้นนั้นเอง
3.5 เลือกรูปแบบประกันของรถ รวมทั้งออฟชั่นอื่นๆ ให้เหมาะสม
เช่น ตามตัวอย่างด้านล่างนี้
3.5.1 ประกันภัยรถยนต์ ซึ่งจะมีหลายแบบที่อาจจะแตกต่างกัน
- แบบพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่จะรวมอยู่ในค่าเช่ารถอยู่แล้ว จะจำกัดความรับผิดชอบค่าเสียหาย ในกรณีที่เรารถชน ค่าเสียหายมีมูลค่ามากว่าที่เราวางไว้ เราก็ต้องจ่ายเพิ่มให้ครบตามค่าเสียหายเต็มยอดซึ่งจะมีความเสี่ยงสูง
- แบบจำกัดความรับผิดชอบ ค่าเช่ารถก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึง แต่เราจะมีวงเงินสูงสุดที่เราจะจ่ายในกรณีเกินอุบัติเหตุ ไม่ต้องรับผิดชอบเต็มมูลค่า ค่าใช้จ่าย
- แบบประกันรับผิดชอบ 100% เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไร หรือจ่าย 0 บาท ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เพราะเราได้ซื้อประกันครอบคลุมไว้ทั้งหมดแล้ว (ถ้าไม่ติดอะไร แอดมินอยากให้เลือกกรณีนี้ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่อยากให้เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย)
3.5.2 Roadside Cover คือประมาณความช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น ยางแตก น้ำมันหมด แบตหมด ลืมกุญแจรถ หรือ กุญแจรถหาย เราก็จะไม่ถูกชาร์จค่าบริการเพิ่มเติม หรือ ชาร์จค่าบริการน้อยลง
3.5.3 GPS Navigation กรณีที่เราต้องการเนวิเกเตอร์นำทางเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องเล็กๆเสริม หรือแบบฝั่งอยู่ในคอนโซลกลางของรถในตัวท๊อปๆ แอดมินแนะนำ ให้เช่าซิมมือถือ และใช้ internet เปิด Google Map จะง่ายกว่าใช้เครื่องเนวิเกเตอร์เยอะ
3.5.4 Extra Drivers คือค่าคนขับเพิ่ม (บางที่พื้นฐานให้คนขับแค่ 1 คน หรือ บางที่ก็ให้คนขับ 2 คน แต่แรกแล้ว ให้เช็คดูให้ดีก่อนที่จะเพิ่มนะครับ
3.5.5 Add Child Safety Seat เบาะเด็ก Car Seat ในกรณีที่เรามีเด็กเล็ก แล้วเราไม่ได้ขน Car Seat ไปด้วย เราก็จำเป็นต้องเช่าเพิ่ม
ทั้งหมดนี้ ตัวอย่างรายละเอียดเพิ่มเติม ที่เราต้องจ่ายเพิ่มจากค่าเช่าด้วย ในกรณีที่เราจองล่วงหน้า ซึ่งผมก็แนะนำให้จองล่วงหน้า แต่จองแบบที่สามารถยกเลิกได้จะดีมาก
มีทริคเพิ่มเติม ในบางบริษัทรถเช่านะมี Promotion พิเศษ ซึ่งต้องสังเกตุได้ดีๆ เช่น ตัวอย่างข้างล่างนี้ มี Promotion แถมประกันแบบครอบคลุมทั้งหมดให้ ในราคาปรกติ จากคำว่า "Full Cover Included"
เมื่อกดเข้าไปดูรายละเอียด จะเห็นว่ามีประกันแถมให้แล้ว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
4. ติดต่อรับรถที่บริษัทเช่ารถยนต์
เมื่อเราเดินทางไปถึงประเทศที่เราจำเที่ยวแล้ว เราก็จำเป็นที่จำต้องเดินทางไปที่บริษัทเช่ารถ อาจจะเดินทางไปเอง หรือนั่งรถตู้ของบริษัทเช่ารถ มารับที่สนามบินก็แล้วแต่
4.1 ทำเรื่องที่เจ้าหน้าที่บริษัทเช่ารถเ
หลักๆ ก็จะเป็นการกรอกรายละเอียด เช่น ที่พักที่ต่างประเทศ ที่อยู่ที่เมืองไทย เบอร์ติดต่อที่ต่างประเทศ และ ต้องใช้เอกสารพวก Passport , ใบขับขี่ของไทย , ใบขับขี่สากล ในการทำเรื่องเช่ารถ
4.2 ตรวจสภาพรถให้ละเอียด ในตอนที่รับรถ ทั้งสภาพภายนอก สภาพภายใน เช่น
- ร่องรอยถลอก หรือ บาดแผล เฉี่ยวชนที่ด้านนอกรถ โดยเฉพาะรอยแตกร้าวของกระจกรอบคันด้วย ให้ทำการจด หรือ มาร์คในใบตรวจสภาพรถให้ละเอียด ถ้าจะให้ดี ให้ถ่ายรูป หรือ วีดีโอเป็นหลักฐานจะดีมากก ถ่ายทั้งรอบคันเลย (ถ้าในกรณีไปหน้าฝน ให้ทำการตวจการทำงานของชุดใบปัดน้ำฝนด้วย ว่าทำงานปกติ หรือ มีเสียงดังเวลาทำงานหรือไม่)
- สภาพภายในห้องโดยสาร มีจุดไหนสกปรก เป็นคราบ หรือ มีรอบถลอก หรือสภาพไม่พร้อมใช้งาน
- ถ่ายรูปเลขไมล์ที่หน้าปัทม์ ว่าเราเริ่มเช่าที่ระยะในเลขไมล์เท่าไหร่ เพราะที่เช่ารถบางที มีจำกัดระยะทางการขับด้วย หรือเพื่อเป็นการโน๊ตว่าจบทริปเราได้ขับรถไปเท่าไหร่ด้วย
4.3 ก่อนจะขับรถเช่าออกไปใช้งาน เตรียมตัวให้พร้อม ให้ทำการปรับเบาะนั่ง พนักผิง กระจกมองหลัง กระจกมองข้างให้เรียบร้อยก่อน รวมทั้งศึกษาปุ่มและการใช้งาน เช่น เปิดไฟหน้า เปิดใบปัดน้ำฝน เปิดไฟเลี้ยว ให้เรียบรอ้ย ไม่ต้องรีบ เพราะถ้าเราไปปรับระหว่างขับรถ มีโอกาสเกิดอันตรายสูง เนื่องจากเราไม่คุ้นชินทั้งรถ และสภาพจราจร และที่สำคัญตั้งจุดหมายปลายทางระบบนำทางให้เรียบร้อยด้วย
4. วีธีการขับรถในนิวซีแลนซ์
เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับถนนหนทาง และกฏระเบียบจราจรในนิวซีแลนซ์ แต่อย่างน้อยก็สบายใจได้เปาะนึง ว่า ที่ NZ ขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนเมืองไทย ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แค่ศึกษาในรายละเอียดอีกหน่อยก็พอ เรามาเริ่มในรายละเอียดกัน ถนนสายต่างๆ มีการควบคุมดูแลโดยเจ้าหน้าตำรวจ NZ และมีกล้องจับความเร็ว ดังนั้นถ้าไม่อยากโดนจับหรือ ค่าปรับเพียบ ก็ควรปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด
4.1 ระยะเวลาในการเดินทาง ระหว่างดูจากแผนที่ที่ดูใกล้ แต่กับระยะทางจริง นั้นต้องใช้เวลาเยอะ เนื่องจากถนนค่อนข้างแคบ และจำกัดความเร็ว
ดังตัวอย่างในรูปด้านล่าง ใน Google Map แจ้งว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม 13 นาที ที่ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 100 กม/ชม ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่จำกัดไว้ แต่ในสถานการณ์จริง เราอาจไม่สามารถขับได้เร็วถึง 100 กม/ชมได้ เพราะทางโค้ง ขับได้ยาก ต้องใช้ทักษะในการขับ สภาพอากาศ ฝนตก หมอกลงหนัก จึงทำให้ใช้่เวลามากกว่านั้น อาจจะเป็น 6-7 ชม ได้
อันนี้เป็นสภาพถนนที่ NZ มีทั้งทางโล่งๆ และทางโค้งต่างๆ แต่ทุกวิวสวยงามตามท้องเรื่องครับ
บางจุดก็เจอฝน และทางโค้ง ขับทำความเร็วลำบาก ทำให้ถึงช้ากว่ากำหนดได้
ทางโค้งเยอะมากๆๆๆๆ
4.2 ขับชิดซ้าย ให้ทำการขับชิดซ้ายของถนนอยู่เสมอ ถนนบางเส้นไม่มีเส้นแบ่งกลางถนน
- ขอให้ระลึกเสมอว่าต้องขับชิดซ้าย
- ห้ามตัดเลนเวลาโค้ง เด็ดขาด เพราะมีคนไทยที่ไปขับรถที่โน้น โดยแจ้งตำรวจว่าขับตัดโค้ง โดนตำรวจขับรถดักสกัดจับ ก็มีมาแล้ว
ที่บอกว่าขับชิดซ้าย นี้ไม่ได้หมายถึงขับเลนซ้ายนะครับ แต่รวมถึงให้ขับชิดซ้ายของเลนด้วย เพราะถนนที่ NZ มีแค่ฝั่งละเลนเดียวเป็นหลัก เพื่อให้คันอื่นแซงได้สะดวก เพราะบางจังหวะก็แซงในเลนเดียวกัน
4.3 ไม่ขับเร็วเกินกว่าความเร็วสูงสุดที่กำหนดไว้ หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ซีเรียส ถ้าไม่อยากโดนใบสั่ง จนหูตูบ เพราะค่าปรับที่ NZ แพงกว่าที่เมืองไทยเยอะ
- ถนนนอกเมือง ให้ขับเร็วไม่เกิน 100 กม/ชม ให้ดูที่ป้ายสัญลักษณ์แบบนี้
- ถนนในเมือง หลักๆจะจำกัด ความเร็ว 50 กม/ชม ห้ามเกินเด็ดขาด
แต่ถ้าในเมืองที่เป็นขอบๆ ของเมืองอาจเพิ่มความเร็วเป็น 70 กม/ชม ให้สักเกตุจากป้าย
วิธีสักเกตุ หรือ ปฎิบัติคือ
เมื่อขับรถมาจากนอกเมือง กำลังจะเข้าเมืองจะเจอป้ายเตือนจำกัดความเร็วดังรูป ให้เริ่มเบรคลดความเร็วลงได้ทันที
หลังจากนั้นจะเจอป้าย เตือนสุดท้าย ความเร็ว ณ จุดป้าย ต้องไม่เกิน 50 กม/ชมแล้วนะครับ ย้ำนะครับ
ตามรูป ถึงเมือง Omarama แล้ว
อย่างในรูป เราอยู่ไกลๆ จากที่จับความเร็ว แจ้งว่าขับ 49 กม/ชม
ไม่แน่ใจขับต่อมาดูใกล้ โดยลดความเร็วลงมาเหลือ 43 กม/ชม กันพลาด 555
- โซนถนนหน้าโรงเรียนจะจำกัดเหลือ 40 กม/ชม น้อยกว่าวิ่งในเมืองนะครับ
4.4 การขับเมื่อเจอวงเวียน เนื่องจากที่ NZ ตามแยก เกือบทั้งหมดจะเป็นวงเวียน มากกว่าแยกไฟแดง เมื่อขับไปเจอใหม่ ก็จะงงๆ เพราะการปฏิบัติบางอย่างแตกต่างจากบ้านเรา มันจะมีจุดแตกต่างเล็กน้อยนะครับ
- ป้ายเตือน วงเวียนอยู่ข้างหน้า
- การขับเลนไหน เปิดไฟเลี้ยวยังไง เมื่อจะเข้าวงเวียน
กรณีเลี้ยวขวา ให้ชิดขวาและเปิดไฟเลี้ยวตามจังหวะในรูป สังเกตุถ้ามีหลายเลนจะไม่เปิดไฟเลี้ยวขวาตลอดนะครับ
กรณีจะตรงไป ก่อนถึงแยกไม่ต้องเปิดไฟเลี้ยว ให้เปิดเมื่อผ่านกลางวงเวียนไปแล้ว
ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินแบบที่บ้านเราชอบทำเด็ดขาดนะครับ เพราะมันผิดกฏจราจรทั้งที่ NZ และเมืองไทย อันนี้อย่างให้ช่วยกันรณรงค์
และที่สำคัญ ทางร่วมทางแยก เนื่องจากไม่มีสัญญาณไฟจราจร ให้รถทางขวามือของเราไปก่อนทุกครั้งนะครับ
ตามรูปให้ทางขวาเส้นทึบสีดำไปก่อน เราเส้นปะไปที่หลังนะครับ
4.5 สะพานที่ NZ จะมีช่องทางวิ่งทางเดียว สะพานที่ NZ เกือบทั้งหมด จะมีทางวิ่งแค่ช่องเดียว และเราจะรู้ได้ยังไงว่า ใครจะวิ่งขึ้นสะพานมาก่อนมาหลัง Drive Master มีวิธีการขับมาบอก
เพราะขืนขับมั่วๆ ได้มีมาปะกัน กลางสะพานแน่นอน
หลักการ คือ จะมีป้ายบอกว่า ให้ใครเราไปก่อน หรือเค้ามาก่อน (กรณีที่มาถึงตีนสะพานพร้อมกันนะครับ แต่ถ้าใครมาถึงตีนสะพานก่อนประมาณนึง ก็ไปก่อนได้ครับ ดังนั้นก่อนถึงสะพานให้สักเกตุฝั่งตรงข้ามล่วงหน้านะครับ)
อันนี้ เราสีแดง เค้าสีดำ เราต้องให้เค้าข้ามสะพานมาก่อน จนหมด เราถึงไปได้
อันนี้ เราสีขาว เค้าสีแดง เราไปก่อน
แต่ แต่ ถ้าเค้ามาจอดหน้าสะพานก่อนเราอยู่แล้ว เราก็ควรให้เค้ามาก่อนนะครับ
ดังตัวอย่างของจริง
จากถนน 2 เลน สวนกัน พอมาถึงตีนสะพานจะบีบเหลือ 1 เลน และมีเส้นสีขาวเป็นแนวสำหรับจอดรอ และสักเกตุฝั่งตรงข้ามไม่มีรถ
แบบนี้ ให้เราไปก่อนได้เลยครับ นอกจากมีรถจอดรอฝั่งตรงข้าม ก่อนที่เราจะมาถึงแส้นเรา ก็ต้องให้เค้ามาก่อนนะครับ
4.6 การแซง เนื่องจากถนนเกือบทั้งหมดของ NZ เป็นถนนสวนกัน 2 เลนเท่านั้น ยกเว้น Motor way ที่มีหลายเลน การแซงทั่วไปก็จะแซงปกติ ตามความเหมาะสมสำหรับถนนที่เป็นทางตรง และให้สักเกตุเส้นป่ะ เส้นทึบที่เส้นแบ่งถนนด้วยนะครับ เพราะบางทีถึงแม้จะเป็นทางตรง แต่มีช่วงขึ้นเขา ลงเขา หรือเป็นเนิน ทำให้ไม่เห็นว่ามีรถสวนมา แต่จริงๆ มันเป็นเนินซ้อนรถไว้ทั้งคัน อันนี้อันตรายมากนะครับ
ส่วนทางโค้งถ้าไม่โค้งกว้างและมองเห็นได้ชัวร์ แนะนำว่าอย่าแซงดีกว่าครับ เพราะทางโค้งที่นี้ มันคดเคี้ยวมาก แถมบางจุดมีต้นไม้ข้างทางบังมุมแบบเต็มๆเยอะด้วยครับ
ป้ายแจ้งว่าข้างหน้า จะมี Passing lane รถช้าให้เตรียมตัวชิดซ้าย (คือทุกคันให้ชิดซ้ายหมดนะครับ ไม่ใช้คิดว่าตรูขับ 100 กม/ชม ตามความเร็วสูงสุดแล้ว ชิดขวาได้ เพราะคนแซงจะแซงด้วยความเร็วที่มากกว่า 100 กม/ชม เพื่อแซงเท่านั้น เมื่อแซงพ้นก็จะลดมาเหลือ 100 กม/ชม เท่าเดิม)
รถช้าก็ขับชิดซ้ายยาวๆ รถขับเร็วก็จะแซงชวาและเข้าซ้ายทันที
4.7 เมื่อเจอการปิดถนนทำถนน หรือป้ายจราจรพิเศษชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ NZ จะเจอปิดถนน ทำถนนตลอด บางจุดถนนเหลือเลนเดียว ต้องพลัดกันไป แต่เนื่องจากซ่อมเป็นระยะทางยาวๆ เราจะรู้ได้ไง ว่าไปได้ กลัวจะเจอหน้ากันกลางทางละงานเข้าเลย ที่ NZ ก็มีทางออกให้เช่นกันครับ
เมื่อเจอช่วงที่มีการทำถนน ก็จะมีกรวยและป้ายจำกัดความเร็วชั่วคราวเหลือ 30 กม/ชม ก็ให้ชลอความเร็วและขับด้วยความระมัดระวัง
หลังจากนั้น เมื่อเหลือเลนเดียวแล้ว ก็จะมีตู้ไฟสัญญาณจราจร หรือบางจุดก็เป็นคนถือป้าย "STOP" ให้หยุด หรือ "GO" ให้ไปได้ (กรณีเป็นเจ้าหน้าที่ ก็ให้ยกมือทักทายเค้าด้วย เพราะที่นี้ถือเป็นธรรมเนียม เค้าทำกันทุกคันครับ)
4.8 การจอดรถในเมือง ก็จะเหมือนการจอดในเมืองทั่วไป จะมีเป็นจุดจอดรถ หรือ จอดริมถนน
ให้สักเกตุป้ายจราจรครับ
กรณีเป็นจุดจอดรถ
อันนี้เป็นป้ายบอกตำแหน่งที่จอดรถ ส่วนตัวเลข 20 ไม่ใชจอดได้ 20 คันนะครับ แต่เป็นจอดได้ 20 นาที
อันนี้เป็นที่จอดรถแบบต้องไปกดซื้อตั๋วจอดที่เครื่องจ่ายตั๋วครับ
กรณีจอดริมถนน ให้จอดได้เฉพาะบริเวณที่มีการแบ่งช่องสีขาว เป็นช่องจอดนะครับ ช่องสีเหลืองห้ามจอดครับ
การเติมเงินที่นี้มี 2 แบบ คือ
1. เติมแบบใช้บัตรเครดิต
2. เติมแบบใช้เงินสด
วิธีการเติม
1 ถ้าใช้บัตรเครดิตก็เลือกปั็มไหมก็ได้ แต่ถ้าใช้เงินสด ต้องเลือกปั็มที่มี ร้าน และมีคนอยู่ประจำร้านเพื่อไปจ่ายเงินที่เค้า
2. เลือกตู้จ่ายน้ำมันที่มีน้ำมันที่รถเราต้องการเติม เช่น ดีเซล หรือ เบนซิน ต้องเลือกว่าเป็น 91 ออกเทน หรือ 98 ออกเทนด้วยนะครับ
3. ถ้าใช้บัตรก็เสียบบัตรเข้าไปในช่องเสียบบัตรแล้วทำตามขั้นตอน แต่ถ้าเติมสดก็ไม่ต้อง
4. เปิดฝาผิดถังน้ำมัน เปิดจุดปิดน้ำมัน เลือก หัวจ่ายให้ตรงชนิดน้ำมันที่เราต้องการเติม เสียบหัวจ่ายเข้าในรูเติมน้ำมัน
5. เลือกว่าจะเติมตามจำนวนเงินที่ต้องการ หรือเติมเต็มทั้ง
- เติมจำนวนเงิน ให้กดตัวเลขที่เราต้องการ เป็นหน่วย NZD
- เติมเต็มถังกดปุ่ม "FILL"
6. กดที่หัวจ่ายเพื่อฉีดน้ำมันลงถัง ถ้าให้กดอัตโนมัติ ไม่ต้องถือหัวจ่ายให้เขี่ยให้กลไลล็อค ซึ่งจะตัดเองเมื่อน้ำมันเต็มถัง
จากวีดีโอ ให้ดูที่วินาทีที่ 5.33 เป็นต้นไป หรือจะดูทั้งหมดก็ยิ่งดี
7. ยกหัวจ่ายออกจากช่อง ให้พยายามชี้ปลายหัวจ่ายขึ้นด้านบน เพื่อกันน้ำมันหยด แล้วนำหัวจ่ายไปเก็บใส่ช่องเก็บที่ตู้จ่ายตามเดิม โดยให้เอาปลายหัวจ่ายเสียบในช่องเก็บก่อนค่อยเอาด้านล่างมือจับเข้าไป ไม่งั้นเก็บไม่ได้แน่นอนครับ
8. ปิดจุกปิดน้ำมัน และฝาปิดช่องเติมน้ำมันให้เรียบร้อย
9. ดูตัวเลขจำนวนเงิน แล้วไปจ่ายที่แคชเชียร์ตามจำนวนนั้น โดยบอกเลขตู้และจำนวนเงิน เป็นอันเสร็จพิธี
4.10 ป้ายจราจรอื่นๆ เพิ่มเติม
ป้าย ตัว "i" จะเป็นจุดให้ข้อมูล ตามเมืองต่างๆ สามารถสอบถามได้ และปกติจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ ด้วย
ป้ายความเร็วที่เหมาะสมในโค้ง ถ้าขับความเร็วตามป้าน โอกาสแหกโค้งน้อยมาก แม้ฝนตก ถนนเปียกก็ตาม ขับความเร็วตามป้ายปลอดภัยแน่นอนครับ
4.11 ห้องน้ำ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะทิ้งท้ายไว้ ส่วนใหญ่ห้องน้ำจะมีอยู่ตามตัวเมืองทั่วไปเกือบทุกเมือง และตามสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทุกจุด ที่สำคัญมีทิชชูให้ใช้ฟรีด้วย (ให้หยิบไปใช้แต่พอดีนะครับ ผมเจอคนไทยหยิบออกมาหลังเข้าห้องน้ำเสร็จเป็นมัดๆ เลย เผื่อให้คนอื่นใช้ด้วยก็ดีนะครับ) และถ้าเป็นห้องน้ำตามจุดที่เป็นนอกเมืองมากๆ จะเป็นสวมหลุมนะครับ กลิ่นบางที่ใช้ได้เลย เหมาะกับการถ่ายเบา ถ่ายหนักอาจกลั้นหายใจตายได้ครับ 555 (ห้องน้ำทุกที่ไม่มีที่ฉีดชำระนะครับ ให้พกทิชชูเปียกไปด้วยจะดีมาก)
ทาง Drive Mater ได้รวบรวมทุกหัวข้อที่จำเป็นต้องรู้ไว้เกือบทั้งหมดที่จำเป็นแล้ว ดังนั้น แอดมิน อจบการรีวิวขับรถในต่างแดน ภาคนิวซีแลนซ์ไว้เพียงเท่านี้นะครับ
ปล. ถ้ามีหัวข้ออื่นๆ ที่ต้องการเพิ่ม รบกวนแจ้งใน comment ของ Facebook ที่โพสกระทู้นี้ก็ได้นะครับ ทางแอดมินจะหาข้อมูลมาให้ครับ
สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง :
ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ
http://www.nzta.govt.nz/resources/roadcode/road-code-index/








ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น