https://drivemasterpage.blogspot.com/

Toyota CH-R หน้าตาอย่างเฉี่ยว ช่วงล่างอย่างเฟี้ยว แต่ล้ออย่างเฉิม

          เรามาเริ่มต้นโพสเปิดเพจกับ การรีวิวรถที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนัก 
Toyota CH-R จากที่ทางผมได้มีโอกาศไปสัมผัสอย่างละเอียดและได้ทดลองขับมา ซึ่งในเริ่มต้น Toyota CH-R ได้เปิดตัวพร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ดังนี้ 
1. 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท
2. 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท
3. HV Mid ราคา 1,069,000 บาท
4. HV Hi ราคา 1,159,000 บาท
ซึ่งในส่วน รายละเอียดของออฟชั่น สามารถเปิดดูที่เว็บของโตโยต้า ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ
https://www.toyota.co.th/model/c-hr
เราจะมารีวิวรายละเอียดต่างๆ ซึ่ีงอาจจะต่างจากที่คนทั่วไปดู ดังนี้ครับ

  • ภายนอก
ด้านหนัาทันสมัย จมูกใหญ่เต็มที่ เหมือนรถที่เสริมดั้งมา 
กระจกมองข้างไฟฟ้า พร้อมหลอด LED แบบประหยัดเพราะมีแค่หลอดเดียว แสงไฟอาจจะมองจากด้านข้างเยื้องมาทางด้านหน้าลำบาก เพราะกรอบพลาสติคชุบโครเมียมบังแสง
ไฟท้าย LED ทั้งชุดทั้งไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยว ไฟถอย เป็น LED ทั้งหมด 
Rear Spoiler ขนาดใหญ่บนกระจกมองหลังพร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 ก็ LED จัดเต็ม 15 ดวง ไม่ได้ประหยัดแบบไฟท้าย Altis ที่มีแบบ 4-6 ดวงเท่านั้น
Duck Tail เพิ่มเติมนอกจาก Rear spoiler บนกระจกหลัง
เป็นลักษณะชิ้นเล็ก แปะบนฝากระโปรงท้ายที่มีพื้นที่อยู่น้อยนิดอีกที
Rear Diffuser หลังที่ด้านล่างของกันชน พร้อมไฟตัดหมอกหลังตรงกลาง และ Rear Reflector ที่กันชนด้านซ้าย-ขวา เนื่องจากไฟท้าย ไม่มีแผงทับทิมในตัว
มือจัดเปิดประตูสำหรับประตูหลัง ที่ย้ายไปไว้ด้านบนเยื้องไปทางด้านหลัง เพื่อให้อารมณ์รถคูเป้ 2 ประตู
เวลาเปิดประตูหลังจะดึงแบบนี้ มือจัดมีจุดหมุนที่ด้านหน้า
โลโก้ด้านหลังสำหรับตัว Hybrid จะเป็นสีฟ้าตาม concept รถไฟฟ้า พร้อมกล้องมองหลัง มือเปิดฝาท้ายอยู่เหนือ
ทะเบียน ใต้โลโก้โตโยต้า
  • ภายใน

ภามพรวมๆ ของคอนโซลด้านหน้า มีสไตล์

 จะได้หน้าจอสัมผัส ถัดลงมาเป็นช่องแอร์และปุ่มไฟฉุกเฉิน และด้านล่างเป็๋ยชุดควบคุมแอร์แบบ Auto
แผงคอนโซลด้านบนแบ่งเป็น 2 ชึ้น กินพื้นที่ค่อนข้างเยอะ สีดำเป็นพลาสติคแข็ง สีน้ำตาลเป็นพลาสิคฉีดบุนุ่มพร้อม
ลายตะเข็บปลอม
คอนโซลหน้าแบ่งเป็น 2 ชั้น สีน้ำตาลบุนุ่มแต่ตะเข็มปลอมนะครับ ส่วนสีดำใกล้กระจกหน้าก็เป็นพลาสติคแข็งตามปกติ


พวงมาลัยทรงสวยงาม พร้อมปุ้มควบคุมเครื่องเสียงที่ด้านซ้าย
ปุ่มควงคุมหน้าจอ Information กลางหน้าปัทม์ที่ด้านขวา และก้านปุ่มควบคุม cruise control ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกาของพวงมาลัย

หน้าปัดแบ่งเป็นวงกลมซ้ายขวา และตรงกลางเป็นจอ TFT แสดงข้อมูล
หน้าปัดสำหรับรุ่น Hybrid จะเปลี่ยนจากวัดรอบ มาเป็นเข็มแสดงสถานะ Hybrid
- CHG = Charge
- ECO 


- Power
ชุดปุ่มควบคุมเครื่องเสียง 
ด้านบน เพิ่มเสีง
ด้านล่างลดเสียง 
ตรงกลางเปลี่ยนโหมด 
ซ้าย-ขวา ปรับตามโหมด
ชุดปุ่มด้านล่างด้านซ้ายเป็นปุ่มรับโทรศัพท์ และวางสาย ทางด้านขวา

ชุดปุ่่มควบคุมหน้าจอกลางหน้าปัทม์ ทั้งเปลี่ยน Trip ในการจับระยาทาง , ย้อนกลัง และเลื่อนเมนู บน ล่าง ซ้าย ขวา

คอนโซลกลางเป็นสี Piano black พร้อมหัวเกียร์ตบแต่งชุมอลูมิเนียม มาพร้อม function เบรคมือไฟฟ้า พร้อม Brake hold ช่วยเหยียบเบรค ขณะจอดติดไฟแดง และปุ่มกันลื่น และปุ่ม EV
เบาะหนังสำหรับส่วนที่สัมผัส ส่วนอื่นๆเป็นหนังเทียมแท้ ตรงกลางหลังและก้น เจาะรูหนังเพื่อระบายอากาศและความสวยงาม


เบา่ะหน้าด้านคนขับปรับมือ ปรับสูงต่ำได้ พร้อมระบบดันหลังแบบปรับไฟฟ้า
เริ่มภายในที่เบาะหลัง ซึ่งหลายคนบอกว่าต้องแคบ พอเห็นและลองนั่งของจริง กว้างกว่า CX3 และพอๆ กับ HRV Legroom ใช้ได้
พนังพิงพับแยก 60:40 ได้ ไม่ราบเรียบจนเกินไป มีซัพพอร์ตด้านข้าง เวลาเข้าโค้ง องศาการพิงเหมาะสม นั่งสบายใช้ได้


แผงประตูส่วนสีดำเป็นพลาสติคบุนิ่ม ส่วนสีน้ำตาลเป็นพลาสติคฉีดลายแบบเข็ง ส่วนของที่ท้าวแขนสำหรับเบาะหน้าเป็นแบบบุนุ่ม (สังเกตุจุดนี้ให้ดีนะครับ)

****แผงประตูหลังจะแตกต่างจากแผงประตูหน้าอย่างมาก เนื่องจากเป็นพลาสิคแข็งทั้งหมด แม้แต่ที่เท้าแขนก็เป็นพลาสิคแข็ง ไม่ได้บุนุ่มเหมือนแผงประตูหน้า ซึ่งผมคิดว่ามันแปลกมาก ที่ไม่เหมือนด้านหน้า เหมือนไม่แคร์คนนั่งหลังเลย ลดต้นทุนน่าจะเป็นเหตุผลหลั
ที่นั่งด้านหลัง Leg room Head room พอได้ พอๆ กับ HRV แต่จุดที่เป็นปัญหาคือหน้าต่างที่อับทึบมากๆ เมื่อนั่งในตำแหน่งเบาะหลัง แล้วมองไปที่หน้าต่างจะเจอพลาสติคทึบๆ บังสายตา ช่วยให้เมารถเป็นอย่างมากก
ถ้าสังเกตุ ผ้าบุหนังคา จะมีการปั้มขึ้นลายหลุมๆ เพื่อสร้างสไตล์ จุดนี้เท่ห์ดี สั่งเกตุที่นั่งตำแหน่งคนขับ มีมือจับด้านบนด้าน ซึ่งปกติคนขับก็ไม่ต่อยได้จับเวลาขับสักเท่าไหร่
**** แต่สังเกตุที่นั่งด้านหลังดันไม่มีมือจับ หรือที่แขวนเสื้อมาให้ซะงั้น ถ้าจะแขวนเสื้อคงต้องวางไว้บนเบาะแทน ไม่น่าเชื่อว่ารถคันล้าน จะลดต้นทุนแบบนี้
*** สังเกตุอีกจุดเบาะทั้ง 4 ที่นั่งเป็นหนัง แต่กระเป่๋าหลังเบาะด้านหน้า ดันเป็นผ้าสีดำ ไม่เข้ากันสุดๆ และคงสกปรกเปรอะน่าดู ถ้าโดนรองเท้าของคนนั่งหลัง นี้ก็เป็นจุดลดต้นทุนอีกจุดนึง
ไฟส่องแผ่นที่ด้านหน้า ทรงใหม่แปลกตา แต่ยังเป็นหลอดแก้วธรรมดา ไม่ใช้ LED แบบ HRV

  • เครื่องยนต์
สเป็คเครื่อง สามารถเปิดดูได้จากเว็บ ของ โตโยต้าได้เลยนะครับ เราจะมาว่ากันในรายละเอียด
เครื่องยนต์ 1.8 L +Hybrid ค่อยข้างแน่น และมีสายไฟและ ท่อรกไปหมด น่าจะยากในการ service
ชุด Hybrid สำหรับขับเคลื่อน พร้อม กล่องควบคุมที่ด้านข้าง
สังเกตุโตโยต้าจะใช้ของเหลวเป็นสีชมพูทั้งหมด เพื่อง่ายต่อการดูสถานะ ยกเว้นกระปุกน้ำมันเบรคด้านบนที่ยังเป็นสีเหลืองปกติ
มองภาพภายในห้องเครื่องกว้างๆ แน่น รกใช้ได้
ด้านข้างของห้องเครื่องจะมีช่องระหว่างคานด้านข้างและแผงแก้มตัวถังด้านหน้า อาจจะไม่สวยงามเล็กน้อย
จุดอับสายตาในห้องเครื่องก็มีแอบเปลื่อยสายไฟ ลดต้นทุนนะ
ฝากระโปรงหน้า เหล็กขึ้นรูป มีน้ำหนักใช้ได้ พร้อมบุแผ่นดูดซับเสียงและกันความร้อน ฝากระโปรงหน้าใช้เหล็กค้ำ ไม่มีโช็คแบบค้ำไว้เอง

สมรรถณะและการควบคุม

  • ตัว 1.8 HB Hi  1,159,000 บาท

เรามาต่อที่เรื่องสมรรถนะและการขับขี่ของ Toyota CH-R นะครับ ก่อนอื่น ผมจะเปรียบเทียบกับรถที่เคยขับ ไม่ว่าจะเป็น Altis 1.8 ES sport , Yaris Ativ, Honda HRV เป็นต้นนะครับ 
1. อัตราเร่ง
เนื่องจากรถที่ได้ทดลองขับนั้นเป็นตัว Hybrid ผมไม่ได้ทดลองขับตัวเครื่อง 1.8 ดังนั้นผมจะเทียบกับ Altis 1.8 แทน เมื่อเร่งในสภาวะที่มีแบตเตอร์รี่ประมาณ 50% พบว่าอัตราเร่งค่อยข้างจะไม่ปู๊ดปราด เมื่อเทียบกับ Altis 1.8 กดคันเร่งเต็ม 100% มีอาการหน่วงรอจังหวะประมาณ 1 วินาที พร้อมกับการดึงที่เพียงพอต่อการใช้งาน แต่อาจจะไม่ถูกใจขาโหดนัก เมื่อเทียบกับ HRV พบว่า HRV มีอัตราเร่งที่ดีกว่าชัดเจน
เปรียบเทียบอัตราเร่ง: Altis 1.8>HRV>>CHR HB>>YARIS ATIV
ที่ผมเปรียบเทียบกับ Ativ เนื่องจากก่อนที่จะทดลองขับผมคาดหวังว่าอัตราเร่ง ต้องดีกว่า Ativ ชัดเจนมากๆ เพราะเป็นเครื่อง 1.8 และพ่วงด้วยมอเตอร์ ต้องมีแรงดึงที่หลังติดเบาะนิด แต่พอทดลองขับจริง ไม่มีอาการหลังติดเบาะใด มีเพียงอาการดึงนิดๆ แต่เข็มความเร็วก็มีการเพิ่มขึ้นชัดเจน 
สรุปเพียงพอกับการใช้งานในเมืองแน่นอน แต่ถ้าออกต่างจังหวัด หรือเร่งแซงบ่อยๆ อาจจะไม่ทันใจ ถ้าแบตเตอร์รี่น้อย เพราะลำพงแค่เครื่อง 1.8 แบบ Akinson นั้น ไม่ได้เน้นแรงสู้ระบบ otto แบบ altis 1.8 อยู่แล้ว 
2. การบังคับความคุม
จุดนี้จะทดสอบได้ตั้งแต่ตอนหมุนพวงมาลัยเพื่อหักหลบสิ่งกีดขวางช้า พบว่าต้องหมุนพวงมาลัยมากกว่าที่คิด อาจจะเพราะอัตราทด ไม่ได้จัดเหมือน Altis ที่ความเร็วต่ำ พวงมาลัยมีน้ำหนักที่กำลังดี หลังจากนั้นไปต่อกันที่สลาลามที่ความเร็วประมาณ 70 กม/ชม ในจังหวะหักหลบกรวยนั้น พวงมาลัยมีความคมใช้ได้ หักซ้าย หักขวา ตอบสนองชัดเจนแบบตรงไปตรงมาสูงกว่า Altis แต่เมื่อมีการหักหลังติดต่อกันถึงกรวยที่ 3 โดยไม่ลดความเร็ว จะพบว่าพวงมาลัยจะเบาขึ้นชัดเจนเนื่องจากล้อเริ่มเสียสภาพการยึดเกาะ และพบว่าท้ายมีการกวาดออกประมาณนึง แสดงว่าเมื่อมีการหักหลบซ้ายขวาอย่างต่อเนื่อง ตัวรถจะเริ่มแสดงข้อด้อยเนื่องจากเป็นรถ Cross over เก๋งยกสูงให้เห็น ซึ่งอาการนี้กับ Altis หรือ Ativ ออกอาการน้อยกว่าชันเจน เมื่อมาถึงจุดการหักเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางกระทันหัน แค่จัดหวะเดียวไม่ต่อเนื่อง รถยังคงตอบสนองได้ดี ไม่เสียอาการ มาถึงอีกจุดนึงที่ผมแปลกใจมาก ก็คือ การเบรคกระทันหันแบบหน่วงความเร็วจาก 100 -10 กม/ชม พบว่าแป้นเบรคมีการจับตัวที่เร็วมาก และขนาดเหยีบน้ำหนักประมาณ 80% พบว่าล้อทั้งสี่ มีอาการล็อคตายชัดเจนจน ABS ทำงาน ซึ่งอาการนี้อาจจะเกิดจากสภาพยางที่ผ่านการทดสอบมาค่อยข้างเยอะหรือลมที่มีการเติมไม่ถูกต้องนัก แต่อาการเหล่านี้ ไม่เจอใน Altis เพราะรถก็จะเบรคและล็อคเบาๆ ตามปกติ ส่วน Ativ นั้น ก็เบรคได้ดี ตามสภาพของรถที่มีน้ำหนักเบา แต่จุดนึงของ Ativ ที่ผมไม่ชอบกลับกลายเป็นว่าแป้นเบรคมีขนาดเล็กเกินไป ถ้ามีการเบรคกระทันหัน เท้าอาจจะหลุดจากแป้นเบรคเข้าไปในช่องระหว่างเบรคกับคันเร่งที่ค่อนข้างกว้างกว่ารถปกติ ดังนั้นเรื่องอาการเบรคกระทันหัน อาจจะต้องรอเปรียบเทียบกับท่านอื่นๆ ที่ได้ทดสอบในรถคันอื่นๆ ที่ต่างกันอีกทีครับ 
3. ช่วงล่าง
ก่อนหน้านี้ผมก็ค่อนข้าง surprise กับช่วงล่างของ Ativ ที่ดีเกินคาด ดีใกล้เคียงกับมาสด้า 2 ส่วน HRV ที่เซ็ตช่วงล่างเพื่อเอาใจคนยุโรปเป็นหลัก จึงคิดว่าน่าจะค่อนข้างแข็งและกระชับ ตามความชอบของคนยุโรป เมื่อได้ลองขับก็พบว่าช่วงล่างนั้น กระชับ หนึบกำลังดี แข็งกว่าและตึงตังน้อยกว่า HRV ชัดเจนเมื่อเจอทางขรุขระ เช่นจังหวะการขึ้นคอสะพาน แล้วเกิดจังหวะกระเด้งนั้น ด้วยที่ตัวโช็คอัพนั้นค่อนข้างจะสั้นกว่า Altis ทำให้จังหวะเด้งมีการสุด หรือ ดึงกลับเร็วกว่ารถ Altis ชัดเจน แต่ด้วยโช็คอัพที่เซ็ตความหนืดไว้มากกว่ารถรุ่นอื่นๆ ทำให้เกิดการเด้งสั้นๆ จังวะเดียวแล้วหยุด ถือว่าค่อนข้างกระชับ และหนึบดี ส่วนการวิ่งพื้นที่ทางขรุขระนั้น ซับแรงกระแทกได้ดี แต่ก็ยังสู้ Altis ไม่ได้ในจุดนี้ ดังนั้นท่านที่มองหารถที่ช่วงล่างนุ่มๆ รับแรงสะเทือนได้ดี อาจจะไม่โดนใจในจุดนี้ของช่วงล่าง CHR 

  • ตัว 1.8 Mid (ท็อป 1.8) 1,039,000 บาท
จากที่ทาง Drive Master ได้เคยรีวิวการขับขี่ของ CHR ตัว Hybrid ตัวท๊อปไปนั้น และมีหลายๆคนบอกว่าตัว 1.8 ที่ใช้เครื่องเดียว เกียร์เดียวกับ Altis 1.8 นั้นขับดีกว่าตัว Hybrid 
ทาง Drive Master จึงหาโอกาสไปลอง CHR 1.8 อีกครั้ง เพื่อให้หายข้องใจ ตัวที่ได้ไปลองขับล่าสุดนั้นเป็น CHR 1.8 Mid (ตัวท๊อปของ 1.8) ขัดใจอย่างแรก คือออฟชั่นความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น Blind spot, RCTA, Pre collision, Radar cruise control,Lane Departure alert ฯลฯ ที่เคยมีในตัวท๊อปของ Hybrid หายเกลี้ยง หรือ แม้แต่ออฟชั่นพื้นฐานที่ควรจะมี (สำหรับรถราคาเกิน 1 ล้านนิดๆ) พวกไฟหน้า LED,ช่องเชื่อมต่อUSB 3 จุด (CHR มีแค่ 1 จุด), ที่แขวนเสื้อ ก็ไม่มี ในขณะที่่ Altis ES sport มีมาให้พร้อมในราคาไม่เกินล้าน ราคาถูกกว่าถึงตั้ง 6 หมื่น (เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน) ส่วนต่าง 6 หมื่น มันไปอยู่ที่จุดไหน ของ CHR นะ
มาที่เรื่องการขับขี่
- อัตราเร่ง ตัว 1.8 แรงกว่าตัว Hybrid แน่นอนทั้งแรงดึง ทั้งความเร็วที่ได้ ใกล้เคียงอารมณ์การเร่งเดียวกับ Altis แต่ช้ากว่า Altis นิดนึง
- ช่วงล่าง หลักๆนั้นช่วงล่าง ฟิลลิ่ง และอาการนิสัยของช่วงล่างนั้น ตัว 1.8 แทบไม่ค่อยต่างจากตัว Hybrid นัก แต่ก็มีความต่างอยู่เล็กน้อยบางจุด เช่น อาการโคลงตัวเมื่อมีการสลาลมต่อเนื่อง กรวยที่ 3 ที่ทางแอดมินเคยเจอนั้น คือรถตัว Hybrid มีอาการดื้อโค้ง เมื่อจะหลบเข้ากรวยที่ 3 นั้น หายไปปลิดทิ้ง ไม่พออาการในตัว 1.8 จึงถือได้ว่าช่วงล่างของตัว 1.8 นั้น เมื่อมีการถ่ายเทน้ำหนัก ซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายอย่างต่อเนื่องนั้นเอาอยู่ มั่นใจดี
แต่ข้อด้อยที่พบเจอใน CHR ตัว 1.8 นั้นก็คือเมื่อขับที่ความเร็วต่ำ ผ่านพื้นผิวที่ไม่เรียบ หรือ ฝาท่อนั้น ตัว 1.8 มีอาการตึงตัง หรือกระด้างกว่าตัว Hybrid นิดนึง คงเป็นเพราะตัว Hybrid มีน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าหลายกิโล จากแบตเตอรี่ มอเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ก็เป็นไปได้
สรุป คือ CHR ตัว 1.8 เป็นรถที่ช่วงล่างขับสนุก เอาอยู่ ผิดวิสัยของรถโตโยต้ารุ่นอื่นๆ เท่าที่แอดเคยขับมา รถโตโยต้าที่ยอมรับว่าขับสนุก ช่วงล่างดี มีแค่ 2 รุ่นเท่านั้น คือ โตโยต้า วิช และ CHR 1.8 คันนี้นี้เอง ของทุกอย่างมักด้านเด่น และด้านด้อย ก็คือ กลุ่มคนที่อยากได้เฉพาะตัวเครื่องเบนซิล 1.8 นั้น อาจจะด้วยงบ หรือ ไม่ต้องการใช้รถ Hybrid เพื่อต้องการง่ายในการบำรุงรักษา ต้องการรถที่อัตราเร่งดี แต่อยากได้ออฟชั่นเยอะๆ ครบๆ คงขัดใจแน่ เพราะไม่สามารถยอมรับในออฟชั่นได้ ถ้าอยากได้ CHR จริง และไม่เอา Hybrid คงต้องรอตัว Minor change ที่อาจจะมีออฟชั่นเพิ่มขึ้นมาในรุ่น 1.8 Mid (1.8 ตัวท๊อป) ในอนาคต แบบแอดมิน


รายละเอียดด้านการขับขี่ด้านบนนี้ คือส่วนที่ผมได้ทดลองขับและจับอาการเปรียบเทียบกับรถคันอื่นๆที่เคยขับ และเปรียบเทียบกับรถของผมเอง อาจจะมีส่วนที่แตกต่างจากทันอื่นๆ สามารถเสนอะแนะ หรือ ติชมได้เลยครับ ขอบคุณครับ

สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง :
https://www.facebook.com/Drive-Master-553312191699174/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น