สำหรับ Mazda CX-30 รถในกลุ่ม B-segment Crossover ที่มาแทน Mazda CX3 เดิม แต่ในมุมมองของ Drive Master มองว่าจะเรียกว่า B-Segment Crossover ก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจาก CX-30 ใหม่ใช้ Platform จาก Mazda 3 และภายในก็เกือบเหมือนยกมาจาก Mazda 3 ดังนั้นในมุมมองของ Drive Master มองว่าเป็นการยกระดับจาก CX-3 เดิมที่ใช้ Platform ของ Mazda 2 และภายในที่เหมือน Mazda 2 เกือบทั้งหมด ดังนั้นการมาของ Mazda CX-30 ใหม่น่าจะตอบโจทย์คนที่ต้องการรถ Crossover ที่ดูดี ดูแพงและแตกต่างจาก Mazda 2 ให้ชัดเจนว่าอยู่คนละระดับ ภายในที่หรูหรากว่า Mazda 3 ใหม่เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังมีพื้นที่ภายในที่ใกล้เคียง Mazda 3 และด้วยความที่เป็นรถ Crossover ยกสูง น่าจะตอบโจทย์คนกลุ่มกว้างกว่าเดิมมาก ในมุมมองส่วนตัวของแอดมินมันน่าใช้กว่า Mazda 3 ซะอีกนะ ยกสูง ใส่ของได้เยอะกว่าหน่อย มีความหรูหรา ราคาต่างจาก Mazda 3 แค่นิดเดียว และที่สำคัญดูมีระดับหรูหราชัดเจน ไม่โดนมองว่าขับ Mazda 2 ยกสูงเหมือนตอนเป็น CX-3
ราคาและออฟชั่น
Mazda CX-30 มีด้วยกัน 3 เกรดย่อย ดังนี้1. 2.0 C ตัวเริ่มต้น ราคา 989,000 บาท
2. 2.0 S ตัวกลาง ราคา 1,099,000 บาท (+110,000 บาท)
3. 2.0 SP ตัวท๊อป ราคา 1,199,000 บาท (+210,000 บาทจากตัว 2.0C) (+100,000 บาทจากตัว 2.0S)
สิ่งที่ได้เพิ่มในแต่ละเกรด
2.0 S เพิ่มเงิน 110,000 บาท จากตัวเริ่ม สิ่งที่ได้
+ ล้อจาก 16 นิ้วเป็น 18 นิ้ว (+ 16,000 บาท)
+ ไฟ DRL แบบธรรมดา หลอด Halogen สีเหลือง (+ 2,000 บาท)
+ พวงมาลัยตกแต่งโครเมียมที่สวิตซ์และก้าน (+ 2,000 บาท)
+ ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า (+ 15,000 บาท)
+ เซ็นเซอร์ถอยหลัง 4 จุด (+ 3,000 บาท)
+ กล้องมองหลัง (+ 4,000 บาท)
ตีเป็นเงินทั้งหมด (+ 45,000 บาท) 41% อันนี้เป็นการประเมิณต้นทุนราคาออฟชั่นแบบค่า Max ของแอดมิน เอาไว้อ้างอิงเท่านั้น)
2.0 SP เพิ่มเงิน 100,000 บาท จากตัวกลาง สิ่งที่ได้
+ หลังคาซันรูฟไฟฟ้า (+ 15,000 บาท)
+ ไฟ DRL แบบ LED (+ 2,000 บาท)
+ ไฟท้าย LED (+ 3,500 บาท)
+ กระจังหน้าและกาบเสาประตู สีดำเงา (+ 5,000 บาท)
+ พวงมาลัยตกแต่งโครเมียมเพิ่มที่ตรงกลาง (+ 1,500 บาท)
+ วัสดุตกแต่งที่เก็บของและปุ่มสตาร์ทโครเมียม (+ 3,500 บาท)
+ กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ (+ 3,000 บาท)
+ เครื่องเสียง Bose เพิ่มลำโพงจาก 8 เป็น 12 ตัว (+ 20,000 บาท)
+ เซ็นเซอร์ด้านหน้า 4 จุด (+ 4,000 บาท)
+ เซ็นเซอร์ถอยหลัง 6 จุด เพิ่ม 2 จุด (+ 2,000 บาท)
+ แสดงภาพ 360 องศารอบคัน (+ 10,000 บาท)
+ ระบบ I-Activesense MRCC, CTS, Advance SBS, SBS-R, SBS-RC, LAS, ALH, LDWS, DAA
(+ 20,000 บาท)
ตีเป็นเงินทั้งหมด (+ 89,500 บาท) 89.5% อันนี้เป็นการประเมิณราคาออฟชั่นของแอดมิน เอาไว้อ้างอิงเท่านั้น)
ดังนั้นถ้ามองกันที่ความคุ้มค่ากับเงินที่เพิ่มขึ้น ตัวเริ่มและตัวท๊อป ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เมื่อเทียบราคาออฟชั่นที่ได้ กับเงินที่เพิ่มนะครับ
ที่นี้เราก็มาดูรายละเอียดของแต่ละรูป ที่เราจะอธิบายใต้รูปนะครับ
ภายนอก
ด้านหน้าออกแบบตามเอกลักษณ์ของมาสด้าสมัยนี้ กระจังใหญ่ ไฟหน้าทรงเรียวบาง ไม่มีไฟตัดหมอก
มุมมองเฉียงจะดูคันใหญ่และกว้างกว่า CX3 เดิมมาก ส่วนนึงมาจากแนวบนฝากระโปรงที่กว้างกางออก ไม่ได้สโลปลงเหมือนรุ่น CX3
ด้านข้างดูขนาดใหญ่ น้องๆ CX-5 โป่งล้อพลาสติคหนา ทำให้ตัวรถดูหนาไปด้วย
มุมมองด้านท้าย จะดูเหมือนด้านท้ายมีความใหญ่และหนากว่าด้านหน้า
ด้านท้ายดูเต็ม ใหญ่และสวยกว่า CX3 ดูใกล้เคียงกับ CX5 จนบางคนอาจแยกไม่ออก ถ้าไม่สังเกตุที่ขอบกันชนพลาสติคด้านล่างที่หน้า
สำหรับรุ่น 2.0 SP กระจังจะเป็นวัสดุดำเงา ส่วนรุ่นอื่นๆจะเป็นสีดำด้าน ขอบกระจังเป็นโครเมียม
ตัวท๊อป ไฟหน้าเป็น LED แบบปรับ ไฟสูงอัตโนมัติ ALH
รอบๆ ลูกแก้ว projector มีรายละเอียดที่สวยงาม ไฟหน้าชุดนี้ ไม่มีไฟเลี้ยวอยู่ในชุดนะครับ และไฟเลี้ยวไปอยู่ที่ไหน ติดตามต่อด้านล่างนะครับ
ไฟหน้าผลิตจาก Supplier ญี่ปุ่น ชื่อดัง Stanley
ไฟอันนี้ อยู่ที่ด้านล่างของกันชนหน้า หลายคนอาจสงสัยว่าเป็นไฟตัดหมอกรึป่าว แต่อย่างที่แอดมินบอกว่า มาสด้ารุ่นใหม่ๆจะไม่มีไฟตัดหมอกที่กันชนแล้ว ดังนั้นไฟด้วยนี้เป็นไฟเลี้ยว LED ที่แยกออกจากไฟหน้ามานั้นเอง
มาดูตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ากันชัดๆ
กาบกันกระแทกด้านข้างของ CX-30 ขนาดใหญ่จริงๆ ในมุมมองของแอดมินมองว่าเป็นจุดนึงที่ทำให้ตัวรถสวยน้อยลง และความหรูหราลดลง เพราะขนาดมันใหญ่เกินไป
ล้อเป็นล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วกว้างแค่ 7 นิ้ว สำหรับรุ่น 2.0S และ 2.0SP สังเกตุขนาดกาบซุ้มล้อ หนาเกือบเท่าครึ่งนึงของล้อแม็กซ์
ล้อหลังขนาดเดียวกับล้อหน้า
ล้อกว้างแค่ 7 นิ้วแต่ใส่ยางขนาด 215/55/18 ของ Dunlop SP sport Maxx สาเหตุที่ใส่ยางเบอร์กว้างกว่านิดหน่อยเพื่อให้ช่วงล่างนุ่มขึ้น และกันกระแทกล้อเป็นรอยเวลาเบียดขอบฟุทปาธ
ซุ้มล้อหน้า มีพลาสติคซุ้มล้อมาเกือบเต็มพื้นที่ ซุ้่มล้อหลังเป็นพลาสติคสักหลาดเพื่อซับเสียงยางกับถนน
กระจกมองข้างทรงโฉบเฉี่ยวพร้อมไฟเลี้ยว LED ตามสมัยนิยม
สิ่งที่ทำให้คันนี้ดูพิเศษและคุ้มกว่า Mazda 3 2.0SP ที่เพิ่มเงิน 10,000 บาท ก็คือซันรูฟอันนี้ สำหรับคนต้องการความเท่ห์และไม่กลัวร้อน แต่ประโยชน์จริงๆคือเวลากลางคืนเปิดม่าน ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่งและโล่งขึ้น แต่ก็แลกกับพื้นที่ Headroom ที่เตี้ยลงไฟเนื่องจากต้องมีชุดซันรูฟ
รุ่น 2.0 SP กาบเสาจะตกแต่งด้วยวัสดุดำเงา รุ่นอื่นๆจะเป็นสีดำด้านธรรมดา
มุมมองเสา C ที่ดูหน้าและใหญ่กว่า CX3 เดิม
มาดูมุมด้านข้างส่วนท้ายแบบเต็ม
ไฟท้าย Mazda Singnature ทรงคล้ายกันทุกรุ่น แต่ก็จะมีรายละเอียดเล็กน้อยไม่เหมือนกัน
ภายใน
ในมุมมองของคนขับ คอนโซลและอุปกรณ์ต่างๆจะโอบรับเข้าหาคนขับ
ฝั่งคนนั่งจะออกแบบให้เรียบง่าย นั่งแล้วสบายตามากที่สุด
หัวเกียร์ขนาดกำลังเหมาะ และตกแต่งสวยงาม
ช่องเก็บของตรงกลางมีขนาดใหญ่ใช้ได้ ที่ท้าวแขนตรงกลางมีขนาดใหญ่และนุ่ม สามารถเลื่อนเดินหน้า-ถอยหลังได้ และต้องถอยหลังเพื่อเปิดช่องเก็บของตรงกลาง
พื้นที่ด้านหลังดูเบาะใหญ่และเต็มกว่า CX3 แต่เวลานั่งจริงๆ ก็ไม่ต่างจาก CX3 มากนัก แอดมินลองนั่งเทียบเลยเพราะรถจอดอยู่ใกล้กัน แต่ CX30 จะมี Legroom มากกว่านิดนึง และดูกว้างกว่า สำหรับรุ่นท๊อปก็ซันรูฟทำให้อึดอัดน้อยลง
ถ้าสังเกตุด้านหลังเบาะหน้าของ CX-30 จะมีความหนาและใหญ่กว่า CX3 ที่ยกมาจาก Mazda 2 ชัดเจน ทำให้คนนั่งหลังอาจจะรู้สึกอึดอัดกว่า CX3 นิดนึง แต่ส่วนที่ทำให้ที่นั่งด้านหลังของ CX-30 ยังจะดูอึดอัดเวลานั่งก็คือมุมชันของพนักพิงที่ตั้งเกินไป ถ้าปรับเอนได้ หรือมุมเอนกว่านนี้นิดนึงจะเยื่ยมมาก เพราะพื้นที่ Legroom Headroom ก็ค่อนข้างโอเครแล้ว
มาดูพื้นที่ Legroom เวลาที่แอดมินนั่งหลังกันชัดๆ ก็ถือว่าพอใช้ได้ ไม่ได้อึดอัดเหมือน CX3 แล้ว ใกล้เคียงกับ Mazda 3 แต่ด้านบนจะดูโล่งสบายกว้าง
มุมมองด้านหลัง เวลาเปิดม่านซันรูฟ
มีมือจับและที่แขวนเสื้อมาให้เรียบร้อย
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เป็นตัวเดียวกันกับ Mazda 3 ใหม่ แต่ต้องลองขับกันอีกที เพื่อเปรียบเทียบว่าจูนเครื่องยนต์และเกียร์มาเหมือน Mazda 3 ไหมอีกที (ตอนนี้ยังไม่เปิดให้ทดลองขับ น่าจะต้องหลังเปิดตัวเป็นทางการวันที่ 14-15 ตามโชว์รูมทั่วประเทศอีกที
พื้นที่ด้านหลังเครื่องยนต์ยังมีพื้นที่เหลืออีกเยอะ สำหรับใส่เครื่องยนต์บล็อคอื่นๆที่ขนาดใหญ่ หรือใช้พื้นที่เยอะกว่า
การขับขี่
สมรรถณะการขับขี่เป็นสิ่งที่เกินคาดไปเลย จากตัว CX3 ที่เป็นรถขับสนุก คล่องแคล่ว ช่วงล่างแน่นจนแอบแข็ง ซึ่ง Mazda 3 ตัวล่าสุดก็มีการปรับลดความแข็งลง ให้นุ่มมากขึ้น แต่พอมาเป็น CX30 นี้นุ่ม หนึบ กลมกล่อมกำลังดีเลยครับ ค่อนข้างถูกใจแอดมิน รถที่ช่วงล่างดี ขับดี ขับสนุก ไม่จำเป็นต้องแข็งมาสด้าก็ทำได้ครับ
ถ้าเปรียบเทียบความแข็ง
CX3>MZ3>CX5>CX30>CX8
ในเรื่องของช่วงล่างภาพรวมการเก็บรอยต่อถนน การเอียงขณะเลี้ยวโค้ง แอดมินชอบช่วงล่าง CX30 มากกว่า MZ3 และ CX5 เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่ชอบช่วงล่างแน่นๆ หนึบๆ แข็งนุ่มกำลังดี ต้องชอบคันนี้แน่นอน เวลาที่เราขับเร็วๆลงสะพาน ช่วงล่างก็ยังลงจังหวะเดียวอยู่ แต่ยังคงความนุ่มไว้ด้วย ไม่แข็งแบบ MZ3 และไม่แข็งแบบรถแอดมินที่ใส่โช๊ค Bilstein แต่ถ้าถามว่าเวลาขับอัดสุดๆ ความมั่นใจก็ยังไม่มั่นใจเท่ารถ BM อยู่ดี แต่พอเทียบกับ X1 ได้ แต่ X1 แอบแข็งกว่านะ และถ้าเทียบกับคู่แข่งในตลาดอย่าง CHR HRV แล้ว CX30 มีช่วงล่างดี ลงตัวที่สุด
อัตราเร่งก็เร่งได้ใกล้เคียง MZ3 ใหม่ ซึ่งก็ยังแรงสู้ Civic 1.5 RS ไม่ได้แน่นอน แต่แรงมากกว่า CHR 1.8 และ HRV 1.8 แน่นอน
พวงมาลัยก็คม แน่น หนืดกำลังดีที่สุดในตลาดเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับเรื่องการขับขี่ ณ ตอนนี้ CX30 เป็นที่หนึ่งในตลาดไปแล้ว เหลือต้องรอเทียบ Kick อีกที แต่ก็คิดว่าสู้ไม่ได้ การขับขี่ไม่ต้องไปเทียบกับ MG ZS หรือ HS นะครับ Mazda CX30 ขับดี กลมกล่อมกว่าเยอะ
การเก็บเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของรถมาสด้าที่ขายอยู่ตอนนี้ และเก็บเสียงดีกว่า CHR และ HRV คนละเรื่อง
เรื่องทัศนวิสัยก็ค่อยข้างโปร่ง เพราะรถสูงกว่ารถเก๋งทั่วไปนิดหน่อย แค่ทำความคุ้นเคยไม่เกิน 5 นาทีก็ขับได้คล่องแล้ว
ถ้าเปรียบเทียบความแข็ง
CX3>MZ3>CX5>CX30>CX8
ในเรื่องของช่วงล่างภาพรวมการเก็บรอยต่อถนน การเอียงขณะเลี้ยวโค้ง แอดมินชอบช่วงล่าง CX30 มากกว่า MZ3 และ CX5 เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นใครที่ชอบช่วงล่างแน่นๆ หนึบๆ แข็งนุ่มกำลังดี ต้องชอบคันนี้แน่นอน เวลาที่เราขับเร็วๆลงสะพาน ช่วงล่างก็ยังลงจังหวะเดียวอยู่ แต่ยังคงความนุ่มไว้ด้วย ไม่แข็งแบบ MZ3 และไม่แข็งแบบรถแอดมินที่ใส่โช๊ค Bilstein แต่ถ้าถามว่าเวลาขับอัดสุดๆ ความมั่นใจก็ยังไม่มั่นใจเท่ารถ BM อยู่ดี แต่พอเทียบกับ X1 ได้ แต่ X1 แอบแข็งกว่านะ และถ้าเทียบกับคู่แข่งในตลาดอย่าง CHR HRV แล้ว CX30 มีช่วงล่างดี ลงตัวที่สุด
อัตราเร่งก็เร่งได้ใกล้เคียง MZ3 ใหม่ ซึ่งก็ยังแรงสู้ Civic 1.5 RS ไม่ได้แน่นอน แต่แรงมากกว่า CHR 1.8 และ HRV 1.8 แน่นอน
พวงมาลัยก็คม แน่น หนืดกำลังดีที่สุดในตลาดเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับเรื่องการขับขี่ ณ ตอนนี้ CX30 เป็นที่หนึ่งในตลาดไปแล้ว เหลือต้องรอเทียบ Kick อีกที แต่ก็คิดว่าสู้ไม่ได้ การขับขี่ไม่ต้องไปเทียบกับ MG ZS หรือ HS นะครับ Mazda CX30 ขับดี กลมกล่อมกว่าเยอะ
การเก็บเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของรถมาสด้าที่ขายอยู่ตอนนี้ และเก็บเสียงดีกว่า CHR และ HRV คนละเรื่อง
เรื่องทัศนวิสัยก็ค่อยข้างโปร่ง เพราะรถสูงกว่ารถเก๋งทั่วไปนิดหน่อย แค่ทำความคุ้นเคยไม่เกิน 5 นาทีก็ขับได้คล่องแล้ว
สรุป
การมาของ CX-30 เพื่อมาแทน CX-3 ถือเป็นแนวทางที่ทาง Drive Master เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อ CX-30 มีความรู้สึกที่ได้ที่แตกต่างจาก Mazda 2 อย่างชัดเจน และเผลอยังดูหรุหรา มีราคามากกว่า Mazda 3 เสียด้วยซ้ำ ส่วนการจะเลือกเกรดใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับออฟชั่นที่ลูกค้าอยากได้ หรือจำเป็นต้องใช้ ซึ่งความอยากได้หรือจำเป็นต้องใช้ ควรแยกกันให้ออก เพราะถ้าอยากได้และเงินถึงก็จัดตัวท๊อปไป แต่ถ้าอยากได้แต่เงินไม่ถึงก็เลือกตัวเริ่มก็ได้ ไม่ถือว่าเสียหาย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ต้องคำนวณความคุ้มค่ากันอีกทีนะครับ
สำหรับอนาคตกลุ่มนี้ ก็จะมีการปรับเปลี่ยนกันอย่างชัดเจน เพราะรถกลุ่ม C-segment platform crossover ที่เป็นคู่แข่งของ CX-30 ก็จะมี CHR, Kicks และก็ HRV ใหม่ (ถ้ายังเอามาขายนะครับ อิอิ)
ปล.ทาง Drive Master ขอขอบคุณ โชว์รูม มาสด้า กรุงเทพออโตโมบิล บางนา สำหรับรถและสถานที่ ถ้าคุณผู้อ่านสนใจรถมาสด้า ติดต่อได้ทาง 02-325-0421 หรือแวะไปดูรถคันจริงได้ที่โชว์รูมนะครับ
* สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ** ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master *** ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
รีวิวได้ดีครับ
ตอบลบขอบคุณครับผม
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบ