https://drivemasterpage.blogspot.com/

New Suzuki Ertiga สมการที่ลงตัวสำหรับรถครอบครัวที่คุ้มค่า พุ่งกว่าที่คิด แข็งกว่าที่คิด และคุ้มกว่าที่คิดไว้เยอะ


            จากวันที่ 6 กุมพาพันธ์ ที่ผ่านมา ทางซูซูกิได้ทำการเปิดตัวรถ MPV ตัวใหม่ล่าสุด รุ่น Ertiga ซึ่งก็ทำเอาหลายๆคนเซอร์ไพส์กับราคาที่น่าคบมากๆ สำหรับรถครอบครัวเอนกประสงค์รุ่นนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 เกรดให้เลือก
1) GX 655,000 บาท เป็นตัวเริ่มต้น
2) GL 695,000 บาท ซึ่งเป็นตัวท๊อป ที่แอดมินคิดว่าเป็นตัวที่น่าซื้อคุ้มค่าที่จะเพิ่มเงินเป็นตัวท๊อป
โดย ดาวน์เพิ่ม 10,000 บาท และผ่อนเพิ่มเพียง 691 บาทต่อเดือน (กรณี ดาวน์25% ผ่อน 48 เดือน)
ซึ่งสิ่งที่ได้เพิ่มมากับเงิน 40,000 บาทที่เสียไป มีดังนี้
- ทริมคอนโซลและแผงประตูลายไม้สีเข้ม ซึ่งของจริงดูดีใช้ได้ (มีสวยกว่าไม่มีเยอะ)

- พวงมาลัยหุ้มหนังและตบแต่งลายไม้ พร้อมปุ่มเครื่องเสียงและโทรศัพท์บนพวงมาลัย (ค่อนข้างจำเป็น)

- ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ  (อันนี้ไม่มีก็ได้ แต่มีก็ดูดี)
- Keyless Push Start  (อันนี้ไม่มีก็ได้ แต่มีก็ดูดี)
- เบาะคนขับปรับสูงต่ำได้ (อันนี้แอดคิดว่าจำเป็น) พร้อมกระเป๋าใส่ของหลังเบาะ
- มือจับประตูด้านในและด้านนอกโครเมียม อันนี้ไม่จำเป็น แต่ก็ดีกว่าไปแต่งข้างนอกที่ไม่ถึงปีก็ดำ
- ช่องวางแก้วตรงคอนโซลกลางพร้อมลมเย็นเบาๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ แต่ใช้งานจริงก็อาจค่อยช่วยให้น้ำเย็นเพิ่มสักเท่าไหร่นัก ถ้าเปลี่ยนเป็นที่ท้าวแขนที่คอนโซลกลางจะเป็นประโยชน์มากกว่าเยอะกว่า

- ไฟตัดหมอกคู่หน้า (ไม่จำเป็นสำหรับในเมือง แต่จำเป็นสำหรับทางบนเขา)
- ไฟท้าย LED แบบมี Light guide (ตัวเริ่มเป็นแบบ LED แค่ไฟท้าย ไฟเบรค ไม่เป็นเส้นๆ)
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ในโคม พร้อมระบบพับเก็บแบบไฟฟ้า (อันนี้จำเป็นสำหรับจอดในที่แคบ)
ทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ตามประสบการณ์ด้านต้นทุนของแอดมิน บวกงบได้ประมาณเกือบ 3 หมื่น แต่ลูกค้าจ่ายเพิ่ม 4 หมื่น  บริษัทบวกกำไร 25 % ก็ถือว่าโอเครเหมาะสม (เจ้าตลาดบางเจ้าบวกกำไร 100% กว่า หรือเท่านึงเลยด้วยซ้ำนะครับ)
ปล. อันนี้คิดแบบต้นทุน OEM นะครับ ราคาจะไม่เท่ากับไปใส่เองข้างนอกนะครับ 
         จากส่วนต่างเราก็มาดูรายละเอียดบางจุดทั่วๆไป นะครับ แอดมินจะไม่รีวิวแบบเต็ม เพราะหลายๆสำนักก็ได้รีวิวไปแล้ว เรามาดูแบบฉบับของ Drive Master กัน (รายะละเอียดอยู่ใต้ภาพนะครับ)

ด้านหน้ามุมในรูปถือว่าดูดีใช้ได้ อาจจะเชยนิดๆ ไม่ล้ำเท่า Xpander แต่ก็ไม่ขี้เหร่นะครับ ดูนานๆ ไม่เบื่อ คันสีขาวเป็นตัวท๊อปมาพร้อมไฟตัดหมอก ไฟหน้าแบบ Projector หลอด Halogen กระจังโครเมียม

ด้านท้ายดูเต็มในส่วนของด้านล่าง ก่อนที่จะตีบเข้าในส่วนของกระจกและหลังคา ด้านบนมีตัวถังเหล็กที่ทำเป็นสปอยเลอร์เล็กๆไปในตัว ตัวท๊อปได้ไฟท้ายแบบ LED ที่เป็นเส้นๆ หรือ Light guide กรอบเหนือไฟส่องทะเบียนเป็นโครเมียม กระจกหลังไม่มีไล่ฝ้ามาให้ แต่มีที่ปัดน้ำฝน และที่ฉีดน้ำข้างไฟเบรคดวงที่สามด้านบน ชายล่างกันชนจะมาพร้อมไฟรีเฟคเตอร์สะท้อนแสงและตบแต่งคล้ายมีสปอยเลอร์ในตัวกันชน ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดแต่งต่อลงไป เพราะสวยดีอยู่แล้ว

เมื่อเปิดฝากระโปรงท้าย โดยไม่พับเบาะแถวสาม ก็จะมีพื้นที่เหลือให้วางกระเป๋าประมาณ 2 ฝามือ สั้นกว่า Xpander นิดเดียว แต่มาพร้อมถาดพลาสติคหุ้มสักหลาดแยกเป็น 2 ชิ้น วัสดุดูดีกว่า Xpander ที่เป็นไม่อัดติดกาวด้วยสักหลาดด้านบนแบบชิ้นเดียว

เมื่อเปิดแผ่นปิดพื้น ก็จะเจอหลุมขนาดใหญ่ชิ้นเดียวรองพื้นด้วยสักหลาด จุดนี้สู้ Xpander ไม่ได้ เพราะ Xpander ลึกกว่าและแบ่งเป็นช่องแยกหลายๆช่อง (แต่ก็ใส่ของยาวๆไม่ได้) รองพื้นด้วยสักหลาดเพื่อกันเสียงดัง ต่างจาก Xpander ที่ก้นหลุมเป็นพลาสติคเพียวๆ เวลาใส่ของและขับทางขรุขระอาจมีเสียงดังให้รำคาญได้

ชุดกลอนล็อกฝาท้าย มีการผสมส่วนที่เป็นพลาสติคมากขึ้น ช่วยเรื่องเสียงเบาตอนปิด แต่ความทนทาน รับแรงกระแทกจะสั้นลง

ฝาท้ายส่วนบนปล่อยเป็นเหล็กเปื่อยๆ ไม่มีการหุ้มพลาสติคเพื่อให้สวยงามใดๆ เป็นเหมือนกันทั้ง Ertiga และ Xpander เป็นหนึ่งในการลดต้นทุน ทำให้เวลามองจากกระจกมองหลังจะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่

เบาะหลังเป็๋นแบบพับแยกฝั่งละครึ่ง พับแล้วก็ค่อนข้างแบนราบ แต่มีมุมชันขึ้นนิดนึง วิธีการดึงเบาะกลับมาตั้ง ก็ให้ดึงเชือกที่เห็นทั้งสองอันหลังเบาะ

ชุดพับเบาะแถวสาม อยู่ที่ด้านบนของขอบเบาะ วิธีพับก็ยกก้านดังรูป ก็สามารถพับเบาะได้ แต่ก้านพับดูค่อนข้างไม่แข็งแรงและบอบบาง แอดมินคาดว่าถ้าพับบ่อยๆ หรือคนพับงัดแรงๆ ไม่นานนักคงหักแน่นอน จุดนี้ควรปรับปรุงให้แข็งแรงมากขึ้น ไม่ควรลดต้นทุนจุดนี้ เพราะเป็นจุดที่ต้องใช้แรงในการพับเบาะ เมื่อใช้บ่อยจะหักได้ง่าย ทำให้เคลมกันสนุกเมื่ออยู่ในวารันตี กลายเป็นว่าเพิ่มต้นทุนด้าน Market claim แทน อาจะไม่คุ้มที่ลดต้นทุนไปในภาพรวม

เบาะแถวสองใหญ่โตใช้ได้ (รถคันในรูปนี้ได้ทำการแต่งเบาะหนังเพิ่มทั้งคันนะครับ ด้วยงบไม่ถึงหมื่น สภาพการเย็บเบาะหรือหนังก็จะไม่ค่อยเข้ารูปหรือสวยงามเท่าที่ควร เบาะเดิมที่เป็นผ้าก็ดูสวยงามดีอยู่แล้ว นอกจากกลัวเบาะเลอะ) เบาะมีขนาดใหญ่ เสริมฟองน้ำหนา นุ่มนั่งสบาย แต่ยังไม่ได้ลองนั่งนานๆไม่รู้จะเมื่อยไหม พนักพิงก็จะแบนราบเรียบไม่มีปีกเบาะด้านข้างเพื่อความกระชับ ซึ่งแอดมินมองว่าควรจะมีปีกเบาะมาให้บ้าง เพราะเวลาพับก็พับได้เพียง 45 องศา ไม่ได้พับแบบราบไปกับเบาะนั่ง ตามเบาะด้านซ้ายในรูป จึงไม่จำเป็นที่พนักพิงจะต้องแบนเพื่อให้เบาะพับสนิท

เวลาจะเข้าไปนั่งในเบาะแถวสาม ก็ต้องดึงก้านตรงขอบเบาะด้านบนของเบาะแถวสอง พับผนักพิงไปด้านหน้า 45 องศา แล้วจะสามารถเลื่อนเบาะตามรางไปข้างหน้าดังรูป ซึ่งทำให้ช่องเข้าทางเข้าเบาะแถวสามอาจจะเล็กไปหน่อย แต่ก็ปลอดภัยและทนดีกว่าแบบยกเบาะพับไปทั้งตัว เพราะมีโอกาสที่เวลาดึงเบาะกลับมาทับเท้าเจ็บได้ (Xpander เป็นแบบยกเบาะขึ้นไปทั้งตัว) มีข้อดีข้อเสียคนละแบบ

ที่ท้าวแขนตรงคอนโซลกลางไม่มี เพราะถูกก้านเบรคมือยึดพื้นที่ตรงกลางเกือบเต็มพื้นที่ เพราะเค้าต้องพยายามลดพื้นที่ตรงคอนโซลกลางให้แคบที่สุด เพื่อให้มีพื้นที่เหลือด้านข้างประตู รถจะได้ดูไม่แคบ แต่ก้านเบรคมือก็ยังขนาดเหมาะสม ไม่ได้ใหญ่โตเกินไปแบบ Xpander  ตรงส่วนปลายมีช่องเสียบไฟ AC 12V มาให้ 1 ช่อง ใครต้องการเสียบ USB ชาร์จไฟก็หาตัวต่อแบบ Qualcom 3.0 ต่อเอานะครับ แต่จริงๆควรจะใส่ช่องชาร์จ USB มาให้กันได้แล้วนะครับ ต้นทุนไม่กี่สิบบาทเอง

แผงประตูบานหน้าตบแต่งด้วยลายไม้เข้ากับชุดคอนโซลหน้า ตัว GX มีสวิสซ์พับกระจกไฟฟ้า และตรงส่วนที่ท้าวแขนหุ้มด้วยผ้าบุนุ่มทั้ง 4 บาน (แต่คันนี้เปลี่ยนเป็นเบาะหนังก็เลยหุ้มหนังแทนผ้าด้วย) ซึ่งก็ดีกว่า Xpander ที่เป็นพลาสติคแข็งๆทั้งบาน ทั้ง 4 บาน 

ส่วนแผงประตูหลังก็บุนุ่มตรงจุดท้าวแขนเหมือนกัน (แต่คันนี้เปลี่ยนเป็นเบาะหนังก็เลยหุ้มหนังที่แผงประตูแทนผ้าด้วย) ซึ่งก็ดีกว่า Xpander ที่เป็นพลาสติคแข็งทั้งบาน หรือแม้แต่ CHR ตัวท๊อบบานหลังก็แข็งทั้งบานเหมือนกัน เสียชื่อรถราคาล้านกว่าบาทมากๆ


แต่ในรุ่น GL ตัวเริ่มก็จะแทนที่ลายไม้ด้วยพลาสติคกัดลายคล้ายๆไม้ในประตูหน้า ซึ่งดูหลอกๆ ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ และก็ไม่มีการบุนุ่มในส่วนที่ท้าวแขน แบบเดียวกับ Xpander  พูดง่ายๆคือเป็นพลาสติคแข็งทั้งบานทุกบาน ด้านล่างเป็นช่องใส่ขวดน้ำขนาดปกติ ใส่ได้ทั้ง 4 บาน และก็มีช่องใส่ของจุกจิกได้อีกนิดหน่อย

สำหรับแอร์หลังนั้นมีมาให้ เป็นแบบมีคอยด์เย็นในตัวปรับความเย็นตามชุดควบคุมด้านหน้า แต่มีปุ่มหมุนปรับความแรงพัดลมแยกที่ที่ชุดแอร์ด้านหลัง ซึ่งจะคล้ายกับ Xpander ซึ่งผมคิดว่าเหมาะสำหรับเมืองไทยมาก เพราะลำพังแบบแค่มีแต่พัดลมดูความเย็นจากด้านหน้าแล้วพ่นลมไปด้านหลังนั้นไม่เพียงพอกับอากาศร้อนแบบบ้านเราแน่นอน

จุดนี้คือจุดลดต้นทุนที่น่าเกลียดมาก คือมือจับเหนือประตูทั้ง 3 บาน (ยกเว้นบานคนขับไม่มี) Ertiga ให้มาเป็นแบบแข็ง ตายตัวพับไม่ได้ ก็ดีอยู่ในแง่ของความทนทาน ไม่ห้อยแบบรุ่นที่พับได้ที่พอแขนเสื้อบ่อยๆแล้วสปริงล้าไม่ดึงกลับ ซึงมีต้นทุนที่สูงกว่าอันละมากกว่า 80 บาท แต่แต่แต่ อย่างน้อยก็ควรมีจุกปิดรูน็อตให้ด้วย ไม่ใช้เปลือยเห็นน็อตหน้าเกลียดแบบนี้ มันดูน่าเกลียดมากบอกเลย ต้นทนจุกพลาสติคปิด 6 อันไม่เกิน 30 บาท รบกวนใส่มาให้หน่อยเหอะตอนไมเนอร์เชนจ์ก็ได้ แอดมินขอร้อง

คอนโซลหน้าเป็นแบบเรียบๆ มีจอกลางลอยโดดขึ้นมา 1 อัน ซึ่งตบแต่งด้วยลายไม้สีเข้ม ที่ดูสวยงามและดูดีกว่าที่คิดไว้เยอะ เป็นออฟชั่นที่ควรเสียเงินเพิ่มเป็นรุ่น GX ตัวท๊อป ส่วนบนและส่วนล่างเป็นพลาสติคแข็งๆ ตามราคารถ และยังดีกว่า Xpander ที่กัดพลาสติคเป็นลายตะเข็บหลอกๆ ที่เวลาจับหรือโดนมันจะคมๆ เหมือนจะบาดมือแบบนั้นแอดมินไม่ชอบมากๆ ทำเป็นแบบ Ertiga นั้นดูดีกว่าเยอะเลย
(ส่วนจอกลางที่เป็นแบบจอใหญ่ๆ เป็นของตบแต่งเป็นจอ Android นะครับ)

 ในรุ่นล่าง GL ลายไม้ก็จะถูกแทนที่ด้วยพลาสติคธรรมดาเรียบๆ เตียนๆ โล่งๆ แบบในรูป

ส่วนของคอนโซลหน้าฝั่งคนนั่งจะออกแบบเป็นร่อง 4 ร่องแนวนอน ทำเหมือนมีช่องแอร์ตลอดแนวแบบ HRV แต่จริงๆไม่ใช้ ก็มีช่องแอร์ 2 ช่องในจุดเดิมตามปกติ

อันนี้คือจอกลางที่ทำการเปลี่ยนเป็นจอ Android ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มหมื่นนิดๆ แอดมินเอารูปมาเผื่อคนสนใจเปลี่ยน แต่แอดมินคิดว่าขอบจอที่แต่งเป็นลายหนังนั้นยังดูไม่เนียน พลาสติคกัดลายไม่เรียบร้อย สู้ทำเป็นแบบพลาสติคดำเงา หรือดำด้านเรียบๆของเดิมไปจะดีกว่า และก็ยังไม่มีกล้องมองหลังต้องติดตั้งเพิ่ม

อันนี้คือหน้าตาจอกลางของเดิมติดรถซึ่งเหมือนกันทั้ง 2 เกรด เวลาปิดมันดูเหมือนจะดูดี แต่เวลาเปิดจะเหลือจอขนาดเล็กนิดเดียวเท่ากล่องไม้ขีด เป็นระบบเหมือนจะสัมผัส แอดมินว่าเป็นจอที่ปุ่มน้อยไป การทำงานต้องกดที่ปุ่มช่อง 1- 6 นั้นทำให้การใช้งานยากวุ่นวายมาก จากที่แอดมินเคยดูแล Supplier เครื่องเสียงให้บริษัทรถยนต์มาก่อน ถือว่าเป็นจอวิทยุที่การใช้งานค่อนข้างแย่ เหมาะแก่การเปลี่ยนใหม่ชิ้นนึงของ Suzuki Ertiga เลย ต้นทุนแอดมินให้ไม่เกิน 2,500 สำหรับจอแบบนี้  และเมื่อเทียบกับ Xpander เจ้านั้น ถึงแม้จะจอไม่ใหญ่มาก แต่ก็ใช้งานสะดวกและดีกว่าเยอะ และก็ยังไม่มีกล้องมองหลังต้องติดตั้งเพิ่ม มีเพียงเซนเซอร์ถอยหลังแบบเสียงให้


ส่วนของพวงมาลัยหุ้มหนังและตบแต่งด้วยทริมลายไม้อย่างดี ผิวสัมผัสของหนังละมุน เรียบ เนียน ใช้ได้ เดินตะเข็บด้ายจริงเรียบร้อย ไม่คมเวลาจับ และปกติผมไม่ค่อยชอบลายไม้ที่พวงมาลัยเป็นการส่วนตัว แต่ของ Ertiga นั้นขอยกเว้น เพราะว่าเป็นการแต่งลายไม้เฉพาะส่วน แต่ส่วนที่สัมผัสเวลาสาวพวงมาลัยยังเป็นหนัง ทำให้หมุนถนัดมือ และไม่ลื่นๆ เนื่องจากผิวสัมผัสที่ต่างกันระหว่างหนังและลายไม้ แถมพอเก่าๆจะแตกลาย หรือถลอกไม่สวยงามได้ง่ายเนื่องจากแหวนขูดเป็นรอยอีกด้วย ซึ่งจุดนี้แอดมินขอชมในความสวยงาม ซึ่งก็พอๆกับพวงมาลัยของ Xpander แต่หนังและตะเข็บด้ายของ Ertiga นั้นสัมผัสดีและละมุนกว่ากันหน่อยนึง บนก้านของพวงมาลัยด้านซ้าย มีปุ่มปรับเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์เช่นเดียวกับ Xpander แต่ด้านขวาไม่มีปุ่มครุยคอนโทรลเหมือน Xpander (แต่ก็เหมาะสมกับส่วนต่างราคารถ 154,000 บาทระหว่าง Xpander>Ertiga)


ช่องแอร์แบคฝั่งคนนั่งที่อยู่บนคอนโซลหน้านั้น ทำการแยกชิ้นโมล เป็นสี่เหลี่ยมขอบมนอีกชิ้นนึงชัดเจน ซึ่งก็เหมือนกับ Xpander เพื่อเป็นการลดต้นทุนความยุ่งยากของโมลคอนโซลหน้า ทำให้ค่าแม่พิมพ์และค่ากระบวนการฉีดพลาสติคถูกกว่าแบบเป็นชิ้นเดียวกันทั้งชิ้นเยอะ ซึ่งอาจจะดูไม่สวยเนียนเหมือนรถราคาแพง แต่สำหรับผู้ใช้งานก็มีข้อดีคือ เวลาเกิดอุบัติเหตุถุงลมระเบิดก็ไม่ต้องเคลมเปลี่ยนทั้งคอนโทรลหน้าซึ่งมีราคาแพง แค่เปลี่ยนเฉพาะช่องสี่เหลี่ยมและถุงลม (แต่ปกติประกันก็จ่ายอยู่แล้ว นอกจากท่านที่ไม่ชอบทำประกัน เพราะบอกว่าขับรถเก่ง ไม่ชนอยู่แล้ว เราไม่ชนเค้า เค้าก็มาชนเราได้ ทำประกันไว้เถอะครับ ประเภท 2,3 ก็ยังดี อย่างน้อยก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาะ ไม่ต้องขายรถไปจ่ายค่าเสียหาย แอดมินขอร้อง)

จุดยึดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนนั่งคู่หน้า ก็เป็นแบบปรับไม่ได้ ตามสมัยนิยมของการลดต้นทุน ซึ่งแอดมินไม่ชอบเลย แต่ก็ยังดีที่เบาะฝั่งคนขับปรับสูง-ต่ำชดเชยได้สำหรับรุ่นท๊อป แต่รุ่นล่างและฝั่งคนนั่งนี้สิ ถ้าตัวเตี้ยก็ต้องทนนั่งสายเบลล์ปาดคอต่อไป

ส่วนปุ่มปรับแอร์ก็เป็นแบบปุ่มหมุนและบิดทั้ง 3 อัน  หน้าตาบ้านๆ ซึ่งจุดนี้ของ Xpander ที่เป็นปุ่มหมุน 3 อันเหมือนกันแต่ออกแบบได้สวยงามกว่า ดูดีกว่าเยอะเลย ปุ่มปรับทิศทางลมมีแค่พุ่งใส่หน้า กับเป่าลงเท้าด้านล่าง ไม่มีไล่ฝ้าทั้งกระจกหน้าและกระจกหลัง คนที่จะซื้อไปขับบนพื้นที่สูง มีหมอกบ่อยๆ ก็ควรพิจารณาเพิ่ม หรือในวันฝนตกพร่ำๆ ก็อาจจะลำบากตรงฝ้าที่กระจกหน้าหน่อยนึง

ในส่วนของห้องเครื่องแลกกันคนละหมัด ของ Ertiga เปิดโชว์เครื่องเปลือยกันเลย ไม่มีฝาครอบเครื่องแบบ Xpander เพื่อลดต้นทุน ทำให้เห็นชุดคอยด์จุดระเบิดหรือสายไฟดูรก ไม่เรียบร้อยนิดหน่อย เครื่องเป็นเครื่องขนาด 1,462 ซีซี 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งเท่ากับ Xpander  แรงบิดที่ 138 Nm ที่รอบ 4,400 รอบต่อนาที (Xpander 141Nm ที่รอบ 4,000 รอบต่อนาที) ซึ่งจากสเปคนั้นใกล้เคียงกันมาก ส่วนความจริงในการขับขี่นั้นต่างกันชัดเจน

ในส่วนห้องเครื่องถ้าไม่นับฝาครอบเครื่อง Ertiga นั้น เก็บงานดีกว่า Xpander ชัดเจน สายไฟต่างๆ เดินเป็นระเบียบ มีจุดยึดแน่นหนา สายไฟหุ้มด้วย Corrugate หรือ ท่อยาง พร้อมหุ้มเทปพันไฟทับอีกทีเพื่อกันความร้อนไม่ให้สายไฟกรอบทั้งหมด ผมถือว่างานสายไฟเรียบร้อยดี ไม่ลดต้นทุนมากแบบ Xpander
รูปเล็กด้านบนคือตัวอย่างของ Xpander จะเห็นว่าสายไฟเปลือยหรือหุ้มแค่บางส่วนเท่านั้น
การซีลระหว่างตัวถังมีการทำพ่นสีรองพื้นทั้งหมด งานเรียบร้อยดีกว่า Xpander
รูปเล็กวางชิดขวาด้านบนคือตัวอย่างของ Xpander จะเห็นว่าซีลสีขาวเชื่อมตัวถังไม่มีการพ่นสีใดๆ เพื่อลดต้นทุนล้วนๆ ทำให้ดูห้องเครื่องไม่เรียบร้อย 
ท่อรวมไอเสียด้านหน้า มีฝาครอบอันเล็ก แทบไม่ได้ปิดกันความร้อนกันเลย แค่กันมือโดนเท่านั้น ถัดลงไปจากเฮดเดอร์แบบ 4-1 จะมีตัวกรองไอเสียตัวเล็กๆ 1 ตัว ส่วนคอมเพรสเซอร์แอร์ทางด้านซ้าย ก็มีขนาดเล็กกระทัดรัด ไม่น่าเชื่อว่าจะทำความเย็นให้คอยด์ร้อนทั้ง 2 ชุดได้เพียงพอ

ฉนวนหุ้มซุ้มล้อหลัง มีพลาสติคปิดแค่บางส่วน ทำให้มีเสียงเล็ดลอดเข้าไปห้องโดยสารมากกว่า Xpander นึดนึง

รูปเล็กวางชิดขวาด้านบน 2 รุปคือตัวอย่างของ Xpander จะเห็นว่าแผ่นปิดในซุ้มล้อปิดครอบเต็มพื้นที่ซุ้ม ช่วยให้การเก็บเสียงยางจากพื้นถนนได้ดีกว่า
ความคิดเห็นของแอดมินในด้านต่างๆ 
   1) อัตตราเร่ง 
              จากสเปคจะเห็นว่าแรงม้าและแรงบิดของทั้ง Ertiga และ Xpander นั้นใกล้เคียงกันมากๆ เรียกว่าแทบไม่ต่าง และเกียร์ก็เป็นแบบ 4 จังหวะเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเปรียบเทียบกัน ก็ถือว่าแฟร์ๆ ทั้งคู่ ตลาดเดียวกัน ขนาดเท่ากัน แรงม้าแรงบิดพอๆกัน จะต่างก็ในส่วนของการออกแบบโครงสร้างตัวถังใครเบากว่ากัน  อัตราทด การตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ว่าใครจะดีกว่ากัน สไตล์ใครสไตล์มัน
              เมื่อได้ลองขับ Ertiga จังหวะแรงที่กดคันเร่งนั้น รถนั้นพุ่งออกไปอย่างกระชับกระเชงดีมาก ดังนั้นในจังหวะเปลี่ยนเลนที่ต้องเร่งออกไปจากจุดหยุดนิ่งนั้น ไม่เป็นปัญหาสำหรับ Ertiga แน่นอน อัตราเร่งช่วง 0-60 กม.ต่อชม. นั้น Ertiga ไม่เป็นรองใคร แม้แต่ B-segment เครื่อง 1,500 ซีซี หรือแม้แต่ CHR เครื่องเบนซิล 1,800 ซีซี หรือ XV 2,000 ซีซี นั้น Ertiga เร่งได้ทันใจสุด จนลืมไปเลยว่ามันคือรถ MPV 3 แถว Suzuki เซ็ตคันเร่งและเกียร์ตอบสนองได้ดีทันใจมาก พุ่งกว่า Swift และแน่นอนว่ารู้สึกพุ่งกว่า Xpander แบบชัดเจน เหมือนเครื่องคนละ Segment กันเลย อาจเป็นเพราะ Suzuki ออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ได้เบา ทำให้การขับขี่นั้นดูเบา และพุ่งเร็วเหมือนขับรถเล็กอย่าง Swift เลย
             แต่เมื่อความเร็วเริ่มเกิน 80 กม./ชม. หรือเข้าใกล้ 100 กม./ชม. รถก็จะเริ่มแสดงอาการให้เห็นถึงจุดอ่อนเมื่อเกียร์เป็นเกียร์สาม พอสับเป็นเกียร์ 4 ทำให้รอบต่ำเพื่อความประหยัดน้ำมัน ดังนั้นเวลาเร่งแซง ณ เวลาที่อยู่ที่เกียร์ 4  เมื่อกดแบบเบารถก็จะเร่งที่เกียร์ 3 ทำให้อัตราเร่งไม่จัดจ้านเหมือนตอนออกตัวแรก หรือเมื่อกดคันเร่งมิด รถก็จะทำการสับเกียร์ลงเกียร์ 2 ซึ่งต้องใช้เวลาสักอึดใจนึง รถถึงจะเร่งทันใจ ซึ่งในจุดนี้ อาจจะด้อยกว่า B-segment เครื่อง 1,500 ซีซีนิดนึง แต่ดีกว่า Eco car เครื่อง 1,200 ซีซีแน่ๆ และก็ยังเร่งได้ทันใจกว่า Xpander นิดนึงอยู่ดี
            ดังนั้นในเรื่องอัตราเร่งนั่ง 2 คน น้ำหนัก 140 กก. ถือว่าดีเลย เมื่อเทียบกับขนาดรถและขนาดเครื่องยนต์ แรงกว่า Eco-car สูสี B-segment 1,500 ซีซี และดีกว่า Xpander ในช่วงความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ใครที่ขับ Etiga แล้วบอกว่าออกตัวอืด คงขับรถที่แรงแบบแรงม้าเกือบ 200 ตัวมาเท่านั้น
สรุป
B-segment 1,500 cc.เบนซิล => Ertiga > Xpander = Eco car 1,200-1,300 cc. เบนซิล

   2) พวงมาลัย และการควบคุม
              พวงมาลัยของ Ertiga เหมือนจะเบากว่าสวิฟท์นิดนึง การขับขี่ในเมืองที่ความเร็วต่ำนั้นถือว่าเบา ผู้หญิงขับคงจะชอบ แต่ผู้ชายขับอาจจะบอกเบาไปนิด ความคมนั้นเหมือนลดทอนจากสวิฟท์นิดนึง คือเวลาเลี้ยวจะต้องหมุนองศามากกว่าสวิฟท์ประมาณนึง แต่ไม่มาก ผมถือว่าเหมาะกับประเภทของรถ น้ำหนักที่ความเร็วต่ำใกล้เคียงกับ Xpander  ในช่วงความเร็วกลางถึงสูง พวงมาลัยก็มีน้ำหนักมากขึ้น แต่ถ้าหนักได้มากขึ้นอีกนิดก็จะเยี่ยมเลย เพราะจะทำให้ขับได้มั่นใจมากกว่านี้อีก แต่ปัจจุบันก็ถือว่ามั่นใจดี ในเวลาที่ไม่มีลมแรงๆด้านข้างพวงมาลัยก็นิ่งดี ภาพรวมของพวงมาลัยน้ำหนักใกล้ Xpander ทั้งความเร็วต่ำและสูง แต่ความคมนั้นดีกว่า Xpander แบบรู้สึกได้ เวลาหักเปลี่ยนเลน หรือขับซิกแซกนั้นมั่นใจกว่า Xpander
สรุป
Honda City 2013 >Swift > Ertiga > Xpander 

    3) ช่วงล่าง 
              ในการขับขี่ด้วยความเร็วต่ำหรือคลาน ช่วงล่างของ Ertiga จะมีความตึงตังของช่วงล่างมากกว่า Swift นิดนึง อาจเป็นเพราะต้องเผื่อสำหรับผู้โดยสารหลายคน (แต่จากความรู้สึกของแอดมิน อาจจะเป็นเพราะลมยางที่แข็งกว่าปกติด้วย เพราะรู้สึกเป็นความแข็งจากยางมากกว่าช่วงล่าง แต่แอดไม่ได้พกที่วัดลมยางไปด้วย จึงอดวัดว่าเติมลมเท่าไหร่) Xpander จะมีความนุ่มกว่า Etiga ชัดเจน ทั้งๆที่ล้อของ Xpander เป็น 16 นิ้วที่ใหญ่กว่า Ertiga ที่เป็น 15 นิ้ว) แต่ก็ไม่ได้แข็งจนรับไม่ได้ แอดมินว่านุ่มกว่ารถยุโรปที่ใส่ยางรันแฟตซะอีก
             แต่ที่ในความเร็วกลางถึงสูง ก็ขับได้ค่อนข้างมั่นใจ เปลี่ยนเลนเบาๆ ก็พอมั่นใจ ผมไม่ได้ลองเปลี่ยนเลนแรงๆเพื่อจับอาการเพราะรถเยอะ จึงบอกไม่ได้ ณ จุดนั้น แต่เมื่อเทียบกับ Xpander แล้ว Ertiga ก็ยังแข็งกว่าที่ความเร็วสูง และแอดมินรู้สึกว่า Ertiga ขับได้มั่นใจกว่าที่ความเร็วสูงและเวลาทิ้งโค้งก็เอียงน้อยกว่าและมั่นใจกว่า Xpander นิดนึง ถ้าแอดมินได้ลองยาวๆจะเปรียบเทียบแบบละเอียดให้ฟังอีกครั้งนะครับ
สรุป
ความนิ่มยกให้ Xpander  แต่ความแน่นมั่นใจแอดมินค่อนข้างถือหางและชอบ Eritga มากกว่านิดๆ 

   3) ความเงียบ
              ความเงียบในห้องโดยสารในขณะขับขี่นั้น Xpander เก็บเสียงดังจากยางที่สัมผัสพื้นถนนได้ดีกว่า แต่ประเด็นเรื่องเสียงจากพื้นถนนนั้นจริงๆ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพผิดถนน รุ่นของยาง สภาพของยาง และแผ่นเก็บเสียงในซุ้มล้อและที่พื้นตัวถัง แต่จากการขับขี่คร่าวๆ เรื่องความเก็บเสียง Ertiga คงต้องยอม Xpander ไปในจุดนี้
สรุป
ความเงียบ Xpander เหนือกว่า Ertiga ประมาณนึงทั้งความเร็วต่ำและสูง 
               สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจ หรือกำลังมองหา MPV มาใช้สักคันและมี Ertiga และ Xpander เป็นตัวเลือกหลักๆ นั้น รถทั้งสองรุ่นนี้ ถือจะซื้อแอดมินว่าควรซื้อตัวท๊อปที่ออฟชั่นเต็มกว่า เพราะส่วนต่างระหว่างตัวเริ่มและตัวท๊อปต่างกันไม่เยอะ ผ่อนต่อเดือนต่างกันไม่ถึงพันบาท ในส่วนของภาพรวมของรถทั้งสองรุ่น มีข้อดีและข้อเสียค่อนข้างที่จะสู้สีกัน บางท่านอาจจะตัดสินเลือกรถด้วยหน้าตาด้วยซ้ำ 
แต่ถ้าตัดสินจากการขับขี่ แอดมินค่อนข้างชอบ Ertiga มากกว่าเพราะเร่งได้กระชับกระเชงกว่า แต่ส่วนต่างที่สำคัญจริงๆนั้นคือราคา ซึ่งราคา ณ ตอนนี้ Ertiga 695,000 บาท  Xpander 849,000 บาท ส่วนต่าง 154,000 บาท หรือ 22% นั้น แอดมินถือว่าเยอะมากๆ ทำให้เป็นส่วนหลักในการตัดสินใจเลือกรถทั้งสองรุ่นนี้ได้เลย ตามใดที่ Suzuki Thailand ยังไม่เพิ่มราคาขาย แอดมินก็มองว่า Ertiga เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่านะครับ 
               ทั้งหมดนี้คือรีวิวสั้นๆ ในสไตล์ของ Drive Master นะครับ ขอบคุณสำหรับการติดตาม สามารถติชม เพื่อเป็นกำลังใจและการพัฒนาการรีวิวของทางเพจได้นะครับ การรีวิวทั้งหมดเป็นเพราะความชอบเป็นการส่วนตัวของแอดมินล้วน ไม่มีการโฆษณนา หรืออคติใดๆ แอดมินชอบแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นตรงๆ และเป็นกลางมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ 

ขอบคุณ โชว์รูม Maporn Trading สำหรับรถที่ให้ทดลองขับในครั้งนี้ด้วยครับ

สนใจติดตาม Drive Master Face Book Page ได้ทางลิ้ง : https://www.facebook.com/DriveMasterPage/?ref=bookmarks ทาง Drive Master ขอสงวนลิขสิทธ์ข้อมูลและเนื้อหา ห้ามนำเนื้อหาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งส่วนใดในเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Drive Master ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ฝากกด Like กด Share กด Follow ในเพจ Facebook ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น